tag:blogger.com,1999:blog-15361542799733267882024-02-07T22:19:12.088-08:002 4 7 5 Articleคลังบทความข้อมูล อันเนื่องมาจาก "การปฏิวัติสยาม 2475" อุดมการณ์รัฐธรรมนูญ ประชาชาติ และประชาธิปไตยhistoryMcmuhttp://www.blogger.com/profile/10528487425341058007noreply@blogger.comBlogger4125tag:blogger.com,1999:blog-1536154279973326788.post-31118297483840448072008-03-25T03:57:00.000-07:002008-03-25T05:59:04.253-07:00บางเหตุผลที่สังคมไม่ควรยอมให้ “รื้อ-สร้าง” ศาลฎีกาใหม่<div><div><div><div><span style="font-size:85%;">ชาตรี ประกิตนนทการ คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร</span> </div><div>
<br />๘ ธันวาคม ๒๕๔๙ ประธานศาลฎีกา <strong>นายปัญญา ถนอมรอด </strong>ได้เสนอโครงการรื้อกลุ่มอาคารศาลริมถนนราชดำเนินใน เพื่อก่อสร้างอาคารศาลฎีกาใหม่ ต่อคณะกรรมการอำนวยการจัด<span style="color:#ff0000;">งานเฉลิมพระเกียรติเนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา ๘๐ พรรษา ๕ ธันวาคม ๒๕๕๐</span> ซึ่งที่ประชุมมีมติเห็นชอบให้โครงการก่อสร้างศาลฎีกาหลังใหม่เป็นหนึ่งในโครงการเฉลิมพระเกียรติฯ เนื่องในโอกาสสำคัญนี้<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftn1" name="_ftnref1">[1]</a>
<br />
<br />๒๓ กันยายน ๒๕๕๐ ประธานศาลฎีกาได้เป็นประธานในพิธีบวงสรวงเพื่อเริ่มดำเนินการโครงการนี้ และได้แถลงข่าวว่า กลุ่มอาคารศาลปัจจุบันอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรม ไม่สามารถใช้งานต่อไปได้ โดยได้รับอนุมัติ<strong>งบประมาณจากรัฐบาลทั้งสิ้น ๓,๗๐๐ ล้านบาท</strong> เป็นงบผูกพันตั้งแต่ปี ๒๕๕๐-๒๕๕๖ เริ่มก่อสร้างในปี ๒๕๕๑<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftn1" name="_ftnref1">[2]</a> โดยรูปแบบศาลใหม่จะเป็นงาน <strong>“สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์”</strong> ที่ดึงรูปแบบสถาปัตยกรรมแบบจารีตของไทยในอดีต มาใช้เป็นแนวทางหลักในการออกแบบ เพื่อแทนที่รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบเดิมที่เป็นงานสถาปัตยกรรมแบบโมเดิร์น (Modern Architecture) ในทศวรรษที่ ๒๔๘๐ </div><div>
<br /><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181659677014073634" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjtauZ-Cbp0pOoMULesq_Wi9nMGB_32_k7LMaSi7ecs629Duob-6Gy9z9dG1EzjtNm8faEwnSOciCl7H6JZwoXd80_8-fbrZFTr35wOiRpsqXTnaB6qeR8wUUnHxjxY4t1KL8NRIg3l1nt2/s400/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%B2.jpg" border="0" /> </div><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbuEe3LXf5Ec96qWLqKi2akgXbWjeiwKsxiZ7phaxxpTM9sjHyPEdQRkeCfrE1oxkSPRNAwBOeGZqlR8WQDhCiZp6yq2hZTOhenFFYBzAiUiOvmIlsA2PqY5jFu43HZM9XqZHtdU1Sxyyj/s1600-h/ศาลà¹à¸«à¸¡à¹.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181657344846831842" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgbuEe3LXf5Ec96qWLqKi2akgXbWjeiwKsxiZ7phaxxpTM9sjHyPEdQRkeCfrE1oxkSPRNAwBOeGZqlR8WQDhCiZp6yq2hZTOhenFFYBzAiUiOvmIlsA2PqY5jFu43HZM9XqZHtdU1Sxyyj/s400/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.jpg" border="0" /></a>
<br /><span style="font-size:85%;">ภาพเปรียบเทียบกลุ่มอาคารศาลในสภาพปัจจุบัน (บน) กับแบบใหม่ที่จะทำการก่อสร้าง (ล่าง)</span>
<br />
<br />กรณีดังกล่าว ได้ก่อให้เกิดคำถามแก่ผู้เขียนและหลายๆ ส่วนจากสังคมถึงเหตุผลและความเหมาะสมของการรื้อกลุ่มอาคารศาลทิ้งว่า มีความจำเป็นมากน้อยแค่ไหนที่จะต้องใช้งบประมาณที่มาจากภาษีประชาชนเป็นจำนวนมากขนาดนี้ เพื่อทำการ <span style="color:#ff0000;">“รื้อ-สร้าง”</span> อาคารที่ทำการศาลใหม่ ทั้งๆ ที่ผลการศึกษาสภาพอาคาร ณ ปัจจุบันก็ไม่ได้มีการสรุปผลในลักษณะที่แสดงว่าอาคารมีความเสื่อมสภาพมากจนไม่อาจใช้งานต่อไปได้ (ซึ่งจะกล่าวในรายละเอียดต่อไป)
<br />
<br />สำคัญที่สุดคือ <span style="color:#ff0000;">กลุ่มอาคารศาลนี้ เป็นกลุ่มอาคารที่มีคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่สำคัญยิ่ง </span>สมควรแค่ไหนที่จะทำการรื้อทิ้ง นอกจากนั้น ที่ตั้งของกลุ่มอาคารศาลยังเป็นพื้นที่สำคัญใจกลางกรุงรัตนโกสินทร์ชั้นใน ซึ่งรายล้อมไปด้วยประวัติศาสตร์และโบราณสถานสำคัญมากมาย ดังนั้นการคิดทำโครงการขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อพื้นที่ประวัติศาสตร์เช่นนี้ <strong>เหมาะสมแล้วหรือที่จะดำเนินการไปโดยไม่คิดถามความเห็นของประชาชนที่เป็นเจ้าของประเทศเลย
<br />บทความนี้เกิดขึ้นโดยมีเป้าหมายที่จะแสดงหลักฐานและเหตุผลในมุมมองที่แตกต่าง
<br /></strong>
<br />เพื่อเป็นการเปิดประเด็นให้สังคมได้รับรู้ว่า โครงการก่อสร้างกลุ่มอาคารศาลฎีกาใหม่นี้ <strong>มีประเด็นที่มีความซับซ้อนหลายประการ ทั้งในด้านประวัติศาสตร์ ด้านการอนุรักษ์และพัฒนาเมืองเก่า ด้านวิชาการทางสถาปัตยกรรม ด้านการมีส่วนร่วมของประชาชนต่อนโยบายสาธารณะของภาครัฐ ฯลฯ</strong> ซึ่งประเด็นทั้งหลายนี้มีความซับซ้อนจนเกินกว่าที่จะปล่อยให้มีการดำเนินการภายใต้เหตุผลง่ายๆ เรื่องความเสื่อมสภาพของอาคารเพียงอย่างเดียว ซึ่งก็ยังไม่มีการพิสูจน์อย่างเป็นวิชาการจริงจังแต่อย่างใดด้วย แต่ด้วยข้อจำกัดของหน้ากระดาษและความสามารถของผู้เขียนเอง <strong>ในบทความนี้จึงจะขีดวงในการพิจารณาเฉพาะในประเด็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ คุณค่าทางสถาปัตยกรรม และเรื่องรูปแบบสถาปัตยกรรมของอาคารศาลฎีกาใหม่เท่านั้น</strong>
<br />
<br /><strong><span style="font-size:130%;">ที่ระลึกเอกราชสมบูรณ์ทางการศาล</span></strong>
<br />กลุ่มอาคารศาลในปัจจุบันประกอบด้วยอาคารหลายหลัง แต่ที่มีความสำคัญมากที่สุดและไม่ควรถูกรื้อทิ้งอย่างเด็ดขาดในทัศนะผู้เขียนคือ กลุ่มอาคารรูปตัววี (V) ซึ่งได้รับการออกแบบให้มีลักษณะ<strong> </strong>“ศิลปกรรมแบบทันสมัย” <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftn1" name="_ftnref1">[3]</a> ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ที่สุดในพื้นที่ และมีอายุเก่าแก่ที่สุด </div>
<br />
<br /><div></div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhBM4ULbrg17s1EsV2BwgWXQeCdjqiZOSd2LAs88sy2mOH75qijXYrhMd3EXNk9T7Wdy59vbQtnw1zBI3sW80RyrUbCe1thOSrTGa8-nwpVg47k_a3EIMw2wjSO1uSQyF_YwDNDfBdJsF0D/s1600-h/à¸à¸±à¸à¸à¸£à¸´à¹à¸§à¸.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181658315509440786" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhBM4ULbrg17s1EsV2BwgWXQeCdjqiZOSd2LAs88sy2mOH75qijXYrhMd3EXNk9T7Wdy59vbQtnw1zBI3sW80RyrUbCe1thOSrTGa8-nwpVg47k_a3EIMw2wjSO1uSQyF_YwDNDfBdJsF0D/s400/%E0%B8%9C%E0%B8%B1%E0%B8%87%E0%B8%9A%E0%B8%A3%E0%B8%B4%E0%B9%80%E0%B8%A7%E0%B8%93.jpg" border="0" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsKh5uUBIzu227dAGKk-PCAPhRnAeEFJnTjBojZIqhyphenhyphenHQEFxkA-RNjQWVQCu8azc24e5CktJ1UtcVUf2DaXktF6omGGKmcboDBv9ycjxn_FtVFSbp5k6CL2noKZfHEIQHbovfqkt3uJWrt/s1600-h/ศาลà¹à¸à¹à¸²à¸¡à¸¸à¸¡à¸ªà¸¹à¸.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181658311214473474" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsKh5uUBIzu227dAGKk-PCAPhRnAeEFJnTjBojZIqhyphenhyphenHQEFxkA-RNjQWVQCu8azc24e5CktJ1UtcVUf2DaXktF6omGGKmcboDBv9ycjxn_FtVFSbp5k6CL2noKZfHEIQHbovfqkt3uJWrt/s400/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%80%E0%B8%81%E0%B9%88%E0%B8%B2%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.jpg" border="0" /></a>
<br />
<br /><div><span style="font-size:85%;">บน : ผังกลุ่มอาคารศาล สภาพปัจจุบัน
<br />ล่าง : ภาพถ่ายทางอากาศ ปี ๒๔๘๙ แสดงให้เห็นอาคารกระทรวงยุติธรรม และ ปีกอาคารศาลฝั่งคลองคูเมืองเดิม ที่ทำการก่อสร้างเรียบร้อยแล้ว ส่วนอาคารที่ติดถนนราชดำเนินในคือ อาคารศาลยุติธรรมหลังเดิมในสมัยรัชกาลที่ ๕</span>
<br />
<br />กลุ่มอาคารศาลรูปตัววี ประกอบด้วยอาคาร ๓ หลัง ออกแบบขึ้นในคราวเดียวกันเพื่อให้เป็นกลุ่มอาคารที่เกี่ยวข้องกับกระบวนการยุติธรรมอย่างครบวงจร สถาปนิกผู้ออกแบบคือ <strong>พระสาโรชรัตนนิมมานก์ (สาโรช สุขยางค์)</strong> สถาปนิกกรมศิลปากรที่มีบทบาทสำคัญในการก่อสร้างสถาปัตยกรรมหลายชิ้นในยุคสมัยนั้น โดยมีสถาปนิกและวิศวกรที่สำคัญในยุคสมัยมาดูแลด้วยอีกหลายท่านคือ <strong>หมิว อภัยวงศ์ หลวงบุรกรรมโกวิท นายเอฟ ปิโตโน</strong> ส่วนผู้มีความรู้เกี่ยวกับศาลและกระบวนการยุติธรรมก็เช่น<strong> หลวงจักรปาณีศรีวิสุทธิ์</strong> เป็นต้น<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftn1" name="_ftnref1">[4]</a>
<br />
<br />แม้ว่าจะออกแบบไว้พร้อมกัน แต่เมื่อถึงช่วงการก่อสร้างก็มิได้สร้างขึ้นในคราวเดียวกันทั้งหมด โดย<strong>อาคารหลังแรกเริ่มสร้างในปี ๒๔๘๒</strong> (อาคารปลายตัววี ด้านหลังอนุสาวรีย์พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์) เพื่อใช้เป็นที่ทำการของกระทรวงยุติธรรม สร้างเสร็จและทำพิธีเปิดในวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๔ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftn1" name="_ftnref1">[5]</a>
<br />
<br /><strong>อาคารหลังที่สองที่สร้างขึ้นคือ อาคารปีกตัววีฝั่งที่ติดกับคลองคูเมืองเดิม สร้างในปี ๒๔๘๔</strong> ทำพิธีเปิดเมื่อ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๖ ส่วนปีกอาคารฝั่งถนนราชดำเนินในนั้น ไม่ได้ถูกก่อสร้างตามแบบเดิมที่ได้ออกแบบไว้ อันเนื่องมาจากภาวะสงครามโลกครั้งที่ ๒ แต่จะมาเริ่มก่อสร้างใหม่ ภายใต้การออกแบบใหม่ในปี ๒๕๐๒ ก่อสร้างแล้วเสร็จและทำพิธีเปิดในปี ๒๕๐๖<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftn1" name="_ftnref1">[6]</a>
<br />
<br />กลุ่มอาคารศาลกลุ่มนี้ ถูกสร้างขึ้นอย่าง<span style="color:#ff0000;">มีนัยสำคัญทางประวัติศาสตร์ชาติและประวัติศาสตร์การยุติธรรมของไทย</span> โดยมีที่มาที่สืบเนื่องจากการที่ประเทศไทยได้ <strong>“เอกราชทางการศาล”</strong> คืนอย่างสมบูรณ์ (อธิปไตยโดยสมบูรณ์) หลังจากที่ต้องเสียไปนับตั้งแต่ได้ทำ<strong>สนธิสัญญาเบาริ่งในสมัยรัชกาลที่ ๔
<br /></strong>เจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรมในปี ๒๔๘๑ ได้บันทึกถึงเหตุผลในการก่อสร้างอาคารศาลนี้ไว้เมื่อวันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ มีความตอนหนึ่งว่า
<br />
<br /><em>“.....บัดนี้ประเทศสยามได้เอกราชในทางศาลคืนมาโดยสมบูรณ์แล้ว จึ่งเป็นการสมควรที่จะมีศาลยุติธรรมให้เป็นสง่าผ่าเผยเยี่ยงประเทศที่เจริญแล้วทั้งหลาย เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งการที่ได้อำนาจศาลคืนมา.....”</em> <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftn1" name="_ftnref1">[7]</a>
<br />
<br />ความคิดในการสร้างกลุ่มอาคารศาล เกิดจากดำริของ<strong>หลวงพิบูลสงคราม </strong>นายกรัฐมนตรี ณ ขณะนั้น ดังปรากฏหลักฐานในรายงานการเปิดตึกที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ความว่า
<br />
<br /><em>“.....ภายหลังจากการเปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา กิจการในด้านศาลยุติธรรมได้รับการประคับประคองและเชิดชูขึ้นสู่มาตรฐานอันสูงยิ่งๆ ขึ้น.....ครั้นต่อมาในสมัยรัฐบาลปัจจุบันนี้ บ้านเมืองได้รับการปรับปรุงและทนุบำรุงให้ก้าวหน้ายิ่งๆ ขึ้น ประกอบด้วยประเทศไทยได้เอกราชทางศาลสมบูรณ์แล้ว ท่านนายพลตรี หลวงพิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ได้ดำริเห็นสมควรที่จะให้มีที่ทำการกระทรวงและศาลใหม่ให้เป็นที่เทอดเกียรติประเทศชาติและสง่างามสมภาคภูมิกับที่เป็นที่สถิตย์แห่งความยุติธรรม.....”</em> <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[8]</a>
<br /><em></em>
<br /><span style="font-size:130%;">เอกราชสมบูรณ์ทางการศาล: ความทรงจำที่ถูกลืมในประวัติศาสตร์การยุติธรรมไทย</span> :
<br /><span style="color:#ff0000;"><strong>“เอกราชสมบูรณ์ทางการศาล”</strong></span> เป็นหมุดหมายสำคัญประการหนึ่งในประวัติศาสตร์ไทย เป็นสัญลักษณ์ของการมีอธิปไตยสมบูรณ์อีกครั้งของไทย แต่ที่น่าสังเกตคือ สังคมไทย ณ ปัจจุบัน แม้กระทั่งในวงการศาลยุติธรรมเองก็ตาม กลับมีความทรงจำที่พร่าเลือนจนกระทั่งบิดเบือนไปจากข้อเท็จจริงจนน่าตกใจเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของการได้มาซึ่งเอกราชสมบูรณ์ทางการศาล
<br />
<br />สนธิสัญญาเบาริ่ง ได้ก่อให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า<strong> “สิทธิสภาพนอกอาณาเขต”</strong> ซึ่งหมายถึง สิทธิพิเศษที่ชาวต่างชาติที่อาศัยในประเทศไทย หากกระทำความผิดทางกฏหมาย ก็จะได้รับยกเว้นไม่ต้องถูกพิจารณาคดีในศาลไทย แต่ไปพิจารณาคดีในศาลกงสุลของประเทศที่ชาวต่างชาติคนนั้นสังกัดแทน ซึ่งเท่ากับว่า ประเทศไทยได้เสียอธิปไตยของชาติให้แก่ต่างชาติ ลักษณะดังกล่าว แม้จะไม่ถึงกับเรียกว่าตกเป็นอาณานิคมก็ตาม แต่การเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขตนี้ ก็มีลักษณะของการเป็นอาณานิคมบางส่วนอย่างไม่อาจปฏิเสธได้
<br />
<br />สนธิสัญญาเบาริ่ง ได้เป็นแม่แบบหลักของสันธิสัญญาที่ไทยทำกับนานาประเทศต่อมาอีกหลายฉบับ ซึ่งเท่ากับเป็นการเสียเอกราชทางการศาลให้แก่ประเทศเหล่านั้นทั้งหมด
<br />
<br />นับตั้งแต่ประเทศไทยต้องเสียสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ชนชั้นนำไทยทุกยุคก็ได้ต่อสู้ต่อรองเพื่อเรียกร้องเอกราชและอธิปไตยทางการศาลคืนมาโดยลำดับนับตั้งแต่รัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา แต่จวบจนกระทั่งในรัชกาลที่ ๗ เอกราชทางการศาลของไทยก็ยังไม่สามารถเรียกร้องกลับคืนมาได้โดยสมบูรณ์<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[9]</a>
<br />เพราะแม้ว่าแนวโน้มอำนาจของศาลไทยจะมีพัฒนาการที่ดีขึ้นมากก็ตาม แต่ในขั้นสุดท้าย กงสุลต่างประเทศก็ยังคงมีอำนาจในการถอนคดีออกจากการพิจารณาของศาลไทยได้อยู่ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[10]</a>
<br />
<br /><span style="color:#ff0000;">คณะราษฎร</span> ซึ่งทำการปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในเช้าวันที่ ๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕ พระยาพหลพลพยุหเสนา ได้ยืนอ่านแถลงการณ์ปฏิวัติกลางลานพระบรมรูปทรงม้าในเช้าวันนั้น โดยความตอนหนึ่งได้ประกาศ <strong>“หลัก ๖ ประการ”</strong> ไว้เพื่อใช้เป็นกรอบในการพัฒนาประเทศ โดยข้อแรกของหลัก ๖ ประการของคณะราษฎรคือ <strong>“หลักเอกราช”</strong> ซึ่งเอกราชตามความหมายในประกาศนั้น มีนัยที่เน้นถึง การเรียกร้องเอกราชทางการศาลให้กลับคืนมาอย่างสมบูรณ์นั่นเอง จะเห็นได้ว่า ประเด็นนี้เป็นประเด็นที่สำคัญมากที่สุดประการหนึ่งของยุคสมัย
<br />
<br />หลังจากนั้นมา รัฐบาลคณะราษฎรก็ได้เร่งทำประมวลกฏหมายสมัยใหม่หลายฉบับ สานต่อมาจากรัฐบาลสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ จนมาแล้วเสร็จเรียบร้อยครบทุกอย่างในปี ๒๔๗๗ และประกาศใช้ในปี ๒๔๗๘ และนับจากจุดนี้รัฐบาลก็ได้พยายามดำเนินนโยบายเพื่อให้มีการแก้ไขสนธิสัญญาที่ไม่เสมอภาคอันเป็นเหตุให้ไทยเสียเอกราชทางการศาลลง ซึ่งก็ได้มีประเทศต่างๆ ทยอยแก้สนธิสัญญาใหม่มาโดยลำดับ จนในที่สุด<strong>ประเทศไทยได้ลงสัตยาบันสนธิสัญญาใหม่กับประเทศฝรั่งเศสเป็นประเทศสุดท้ายในปี <span style="color:#ff0000;">๒๔๘๑</span></strong> <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[11]</a> </div>
<br />
<br /><div>ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์อย่างแท้จริง
<br /></div>
<br />
<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn6Gw0h1pcCRI-eU6mLDSP-EEj9jNno4H8RyGTlO_H6SgvzL_3ci7-6v78F_mbI8PYAOtUEksn3yfFuZx9NEPejhroQySiwJgPVeNYFhVl2mr5yTkcFAVQohI5xgf9n649OkZIBX7XjD62/s1600-h/à¹à¸£à¸à¹à¸à¸´à¸¡à¸ªà¸±à¸à¸à¸².jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181659681309040946" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhn6Gw0h1pcCRI-eU6mLDSP-EEj9jNno4H8RyGTlO_H6SgvzL_3ci7-6v78F_mbI8PYAOtUEksn3yfFuZx9NEPejhroQySiwJgPVeNYFhVl2mr5yTkcFAVQohI5xgf9n649OkZIBX7XjD62/s400/%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B1%E0%B8%8D%E0%B8%8D%E0%B8%B2.jpg" border="0" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpUDZxw-2BtUx21gPZZZCoj00qU5zkAK3CheI1kHIs-VwmjzhIKoNgSTPWy0MppDEySn1B6SyqUcLiim0ulZbd2ggBh2pwTLE2_Z8BJ8uozYH68QlDGWVw5XcDZrSyeSM8lIHZEy_11O0O/s1600-h/à¸"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181659685604008258" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjpUDZxw-2BtUx21gPZZZCoj00qU5zkAK3CheI1kHIs-VwmjzhIKoNgSTPWy0MppDEySn1B6SyqUcLiim0ulZbd2ggBh2pwTLE2_Z8BJ8uozYH68QlDGWVw5XcDZrSyeSM8lIHZEy_11O0O/s400/%E0%B8%A0%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B9%83%E0%B8%99%E0%B9%82%E0%B8%A3%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%88%E0%B8%B4%E0%B8%A1.jpg" border="0" /></a>
<br /></div><div><span style="font-size:85%;">ซ้าย: โรงเจิมสนธิสัญญาใหม่ ปี ๒๔๘๑ ด้านหน้าปักธงชาติของประเทศต่างๆ ที่แก้ไขสนธิสัญญากับไทย
<br />ขวา: บรรยากาศภายในโรงเจิมสนธิสัญญา มีผู้นำรัฐบาลและทูตานุฑูตประเทศต่างๆ เข้าร่วมในพิธี</span></div>
<br />
<br /><div>
<br />แต่ข้อเท็จจริงทางประวัติศาสตร์ข้างต้น กลับไม่ได้เป็นที่จดจำเลยในปัจจุบัน ความทรงจำว่าด้วยการได้เอกราชสมบูรณ์ทางการศาลได้ถูกทำให้พร่าเลือนไป แม้แต่ผู้ที่อยู่ในวงการยุติธรรมโดยตรงเองก็ตาม ก็มิได้มีความทรงจำเกี่ยวกับเหตุการณ์นี้แต่อย่างใด โดยส่วนใหญ่กลับมีความทรงจำไปในลักษณะที่ว่า ไทยมีเอกราชทางการศาลโดยสมบูรณ์แล้วมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ โดยผูกโยงเรื่องราวเชื่อมไปกับ การสร้างความทรงจำว่าด้วย<strong> “พระบิดาแห่งกฏหมายไทย”</strong> ที่ได้ถวายให้แก่ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[12]</a> ซึ่งการถวายพระเกียรตินี้ก็เป็นสิ่งที่เพิ่งถูกสร้างขึ้นใหม่ในยุคหลังปี ๒๕๐๐ เป็นต้นมาเท่านั้น<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[13]</a>
<br />ปรากฏการณ์เช่นนี้ เกิดขึ้นภายใต้บรรยากาศทางการเมืองยุคหลัง ๒๔๙๐ ที่ “กระแสอนุรักษ์นิยม” และ “กระแสนิยมเจ้า” เริ่มก่อตัวขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมและทรงพลังอีกครั้ง บรรยากาศทางการเมืองนี้ได้ก่อรูปกระแสประวัติศาสตร์แบบ “ราชาชาตินิยม”<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[14]</a> ขึ้น ซึ่งเป็นการพยายามอธิบายประวัติศาสตร์ชาติไทยผ่านพระราชกรณียกิจของกษัตริย์และเจ้านายเชื้อพระวงศ์พระองค์ต่างๆ ความเจริญก้าวหน้าของชาติในทุกๆ ด้านล้วนเกิดขึ้นอย่างสมบูรณ์พร้อมภายใต้ร่มพระบารมี
<br />
<br /><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgc9X8d_s8C4gmd7auDtIp1Ff5KLp2Ij6Rjo65dx35hQcyrrWjX5i5pUNrAUOEw6OfosWse_GlZPt-SJc6QQKO15gaCO-QmrGIo7gPxhbIEesQfRytSCHf3JPIb3qe51CMytSptF8K7R5AD/s1600-h/à¸à¸à¸«à¸¡à¸²à¸¢.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181660866720014674" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgc9X8d_s8C4gmd7auDtIp1Ff5KLp2Ij6Rjo65dx35hQcyrrWjX5i5pUNrAUOEw6OfosWse_GlZPt-SJc6QQKO15gaCO-QmrGIo7gPxhbIEesQfRytSCHf3JPIb3qe51CMytSptF8K7R5AD/s400/%E0%B8%81%E0%B8%8E%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%A2.jpg" border="0" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiArLSE0VezBR51FnKWT05-Zdqx0zF-0WeNOR-Fg1gQUB2VDlPXIwWclpQGjGgmfeR-zyTicUdVpWvmjxaHkDHG_j95YEiOQ4c94JCMmlydXuiYRxo2aHCYACeMGZcmibAmk204kzE_SWzS/s1600-h/à¸à¸à¸§à¸.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181660871014981986" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEiArLSE0VezBR51FnKWT05-Zdqx0zF-0WeNOR-Fg1gQUB2VDlPXIwWclpQGjGgmfeR-zyTicUdVpWvmjxaHkDHG_j95YEiOQ4c94JCMmlydXuiYRxo2aHCYACeMGZcmibAmk204kzE_SWzS/s400/%E0%B8%82%E0%B8%9A%E0%B8%A7%E0%B8%99.jpg" border="0" /></a>
<br /><span style="font-size:85%;">บน: สนธิสัญญาใหม่ที่ไทยทำกับประเทศต่างๆ อันเป็นสัญลักษณ์ของการได้เอกราชสมบูรณ์กลับคืนมาอีกครั้ง
<br />ล่าง: ขบวนเฉลิมฉลองภายในงานฉลองวันชาติและฉลองสนธิสัญญาใหม่ ในปี ๒๔๘๒
<br /></span>
<br />กระแสประวัติศาสตร์ดังกล่าว มีคู่กรณีที่ไม่อาจยอมความกันได้เลยคือ คณะราษฎร สิ่งใดก็ตามที่เป็นผลผลิตในช่วงสมัยที่คณะราษฎรมีบทบาทนำในสังคม มักจะได้รับการอธิบายในเชิงลบ และพยายามขจัดออกไปจากความทรงจำร่วมของสังคม ซึ่ง<strong>กรณีการได้รับเอกราชสมบูรณ์ทางการศาลก็เป็นหนึ่งในความทรงจำที่ต้องถูกลบออกจากสังคมไทยด้วยเช่นกัน</strong> ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ได้ผ่านมาเพียงราว ๗๐ ปีเท่านั้น และทั้งๆ ที่ในช่วงดังกล่าว <span style="color:#ff0000;">ประเทศไทยได้จัดงานเฉลิมฉลองอย่างยิ่งใหญ่ขึ้น โดยจัดเป็นงานใหญ่ควบคู่ไปกับงานฉลองวันชาติในปี ๒๔๘๒ มีการเดินสวนสนามเฉลิมฉลอง มีการจัดงานเป็นรัฐพิธีใหญ่ สร้างพลับพลาเจิมสนธิสัญญาที่ได้ทำกับนานาชาติอย่างใหญ่โต มีประชาชนออกมาร่วมงานอย่างมากมาย</span> ฯลฯ <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[15]</a>
<br />
<br />ผลของการลบเลือนและบิดเบือนไปของความทรงจำดังกล่าวนี้เอง ที่ส่งผลกระทบทำให้สังคมไทย ไม่มีความทรงจำเกี่ยวกับการสร้างกลุ่มอาคารศาลขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกของการได้มาซึ่งเอกราชสมบูรณ์ดังกล่าวหลงเหลือตามไปด้วย และทำให้กลุ่มอาคารนี้ไม่มีค่าอะไรในทางประวัติศาสตร์ มีสถานะเป็นเพียงตึกเก่าๆ ที่เสื่อมสภาพแล้วเท่านั้น เมื่อผนวกเข้ากับเพดานความคิดที่ตื้นเขินของวงการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรมในปัจจุบัน (ซึ่งจะได้กล่าวต่อไป) ก็ยิ่งทำให้กลุ่มอาคารนี้ไม่มีที่ทางอะไรในสังคมไทยอีกต่อไป
<br />
<br /><span style="font-size:130%;">ปัญหาเพดานความคิดในการประเมินคุณค่าสถาปัตยกรรมโมเดิร์นยุคคณะราษฎร</span> :
<br />กล่าวอย่างรวบรัด กลุ่มอาคารศาลรูปตัววีที่ได้กล่าวมานั้น ถูกก่อสร้างขึ้นด้วยอิทธิพลทางรูปแบบ<strong>สถาปัตยกรรมโมเดิร์น (Modern Architecture)</strong> ซึ่งเป็นกระแสทางสถาปัตยกรรมกระแสหลักในโลก ณ ขณะนั้น
<br />
<br />ลักษณะสำคัญโดยสังเขปของสถาปัตยกรรมโมเดิร์นในบริบทสังคมยุโรปคือ การปฏิเสธรูปแบบสถาปัตยกรรมในอดีต รูปทรงทางสถาปัตยกรรมพัฒนาขึ้นภายใต้จิตวิญญาณของสังคมสมัยใหม่หลังยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม ให้ความสำคัญกับความเจริญทางเทคโนโลยีและวัสดุสมัยใหม่ รูปทรงทางสถาปัตยกรรมที่เกิดขึ้นตัดขาดจากอดีตเกือบโดยสิ้นเชิง ไม่นิยมประดับประดาตกแต่งลวดลายลงบนงานสถาปัตยกรรม รูปทรงทางสถาปัตยกรรมเกิดขึ้นจากประโยชน์ใช้สอยอย่างซื่อสัตย์ ฯลฯ
<br />
<br />อิทธิพลของแนวคิดและรูปแบบทางสถาปัตยกรรมเช่นนี้ได้แพร่เข้ามาในสังคมไทยนับตั้งแต่รัชกาลที่ ๗ เป็นอย่างน้อย ซึ่งเข้ามาพร้อมๆ กับกลุ่มนักเรียนไทยที่ได้มีโอกาสไปศึกษาวิชาชีพทางสถาปัตยกรรมสมัยใหม่ในยุโรป ตัวอย่างงานที่รู้จักกันดีคือ <strong>ศาลาเฉลิมกรุง</strong> อย่างไรก็ตาม รูปแบบดังกล่าวกลับแพร่หลายมากนับจากหลังปฏิวัติ ๒๔๗๕ เป็นต้นมา รูปแบบสถาปัตยกรรมโมเดิร์นได้รับความนิยมในการก่อสร้างมากขึ้น โดยเฉพาะอาคารสาธารณะที่สำคัญของชาติ
<br />
<br />จากการศึกษาของผู้เขียนที่ผ่านมาพบว่า คณะราษฎร ได้จงใจเลือกใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมโมเดิร์นไปในความหมายเฉพาะอีกแบบที่ไม่เหมือนกับความหมายในสังคมยุโรปเสียทีเดียวนัก แต่เลือกใช้และสร้างความหมายเฉพาะในสังคมไทยขึ้นเพื่อสะท้อนแนวคิดทางการเมืองของคณะราษฎร ที่มีลักษณะต่อต้าน แข่งขัน และ แย่งชิงความชอบธรรมทางการเมืองกับกลุ่มอำนาจเก่า (สถาบันกษัตริย์ และ กลุ่มนิยมเจ้า) อย่างชัดเจน รูปแบบสถาปัตยกรรมโมเดิร์นคือสัญลักษณ์ของสถาปัตยกรรมในยุคประชาธิปไตยของคณะราษฎร<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[16]</a> ซึ่งกลุ่มอาคารศาลคือหนึ่งในสถาปัตยกรรมในความหมายดังกล่าว
<br /></div>
<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsAE9srh9zykCsx_nLAr3vHsGGnt4UF3k5oWxgK8DelUXoDmEYYEzBV9GmRJfUncVToozH9d7Dw_SOgHNVNnZ744cNVVCc3B4fMfyAd7xOZ_vxhEHn9pKTjNeM_c40OlAIJZNmv7vO6nME/s1600-h/ศาลมุมมสูà¸à¹à¸«à¹à¸à¸§à¸±à¸à¸à¸£à¸°à¹à¸à¹à¸§.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181660875309949298" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEhsAE9srh9zykCsx_nLAr3vHsGGnt4UF3k5oWxgK8DelUXoDmEYYEzBV9GmRJfUncVToozH9d7Dw_SOgHNVNnZ744cNVVCc3B4fMfyAd7xOZ_vxhEHn9pKTjNeM_c40OlAIJZNmv7vO6nME/s400/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87%E0%B9%80%E0%B8%AB%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%94%E0%B8%9E%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B9%81%E0%B8%81%E0%B9%89%E0%B8%A7.jpg" border="0" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6TLUejVlS0oJz9liHxc7JpX3qE1Hj-7btALGoxc3uhb0Yd81knNHeuU7JvHHC_qaRAXLYXvt3cg3rQSAuvOOf30YL9ai_Cie-YHkYBhpmBTZBDsY9T1r9IMAM85J2J0mPB0j5pvopzuVV/s1600-h/ศาลสà¸à¸à¸¥à¸².jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181660875309949314" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEg6TLUejVlS0oJz9liHxc7JpX3qE1Hj-7btALGoxc3uhb0Yd81knNHeuU7JvHHC_qaRAXLYXvt3cg3rQSAuvOOf30YL9ai_Cie-YHkYBhpmBTZBDsY9T1r9IMAM85J2J0mPB0j5pvopzuVV/s400/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B8%AA%E0%B8%87%E0%B8%82%E0%B8%A5%E0%B8%B2.jpg" border="0" /></a>
<br /></div><div><span style="font-size:85%;">บน: อาคารศาลฝั่งคลองคูเมืองเดิม สร้างขึ้นด้วยสถาปัตยกรรมโมเดิร์นยุคคณะราษฎร เสร็จในปี ๒๔๘๖
<br />ล่าง: อาคารศาล จังหวัดสงขลา เสร็จในปี ๒๔๘๔ อีกหนึ่งอาคารศาลที่ออกแบบด้วยสถาปัตยกรรมโมเดิร์น
<br /></span>
<br />ดังนั้น ในเชิงประวัติศาสตร์การเมืองและประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรม กลุ่มอาคารในยุคสมัยนี้จึงมีคุณค่าทางประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมสูงในทัศนะผู้เขียน โดยมีคุณค่าอย่างน้อย ๒ ประการคือ หนึ่ง คุณค่าในแง่ที่เป็นหนึ่งในกระแสของสถาปัตยกรรมโมเดิร์นในระดับสากล และสอง คุณค่าในบริบทเฉพาะทางการเมืองของไทย ซึ่งคุณค่าทั้งสองประการนี้ไม่ควรถูกรื้อถอนทำลายลงไปอย่างไม่ไยดีเช่นที่กำลังจะเกิดขึ้นกับกลุ่มอาคารศาลเลย
<br />
<br />ทั้งหมดเกิดขึ้นจากเพดานความคิดที่ตื้นเขินของผู้มีส่วนเกี่ยวข้องกับการอนุรักษ์มรดกทางสถาปัตยกรรม ซึ่งยังคงขีดเส้นเพดานคุณค่าทางสถาปัตยกรรมหยุดไว้เพียงแค่ตึกอาคารที่สร้างขึ้นก่อน ๒๔๗๕ เท่านั้น และประเมินคุณค่าทางสถาปัตยกรรมด้วยลวดลายประดับประดาอาคาร อาคารใดสร้างขึ้นหลังจาก ๒๔๗๕ ไม่มีคุณค่าใดๆ ทางประวัติศาสตร์และสถาปัตยกรรม ยิ่งไร้ซึ่งลวดลายประดาประดับ ยิ่งไม่ต้องคิดให้เสียเวลาในการประเมินคุณค่าแต่อย่างใด
<br />
<br />กลุ่มอาคารสองฟากฝั่งถนนราชดำเนินกลาง และอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เป็นตัวอย่างรูปธรรมที่น่าตกใจว่า คุณค่าทางประวัติศาสตร์ของกลุ่มสถาปัตยกรรมดังกล่าวที่มีอย่างมากมาย โดยเฉพาะต่อประวัติศาสตร์การเมืองของไทย ยังไม่สามารถผลักดันจนทำให้เกิดการขึ้นทะเบียนกลุ่มอาคารดังกล่าวเป็นโบราณสถานได้จวบจนปัจจุบัน ในอนาคตข้างหน้า กรณีแบบที่เกิดขึ้นกับศาลาเฉลิมไทยคงไม่ไกลเกินความเป็นจริงมากนัก เมื่อไรหนอที่เพดานความคิดอันคับแคบดังกล่าวจะพังทลายลงเสียที
<br />
<br />ผู้เขียนหวังว่า สัญญาณในทางบวกจากกรมศิลปากรทางสื่อเมื่อไม่นานมานี้ ต่อกรณีการรื้อศาลที่ดูแล้วมีแนวโน้มไปในทิศทางที่จะทำการอนุรักษ์กลุ่มอาคารศาลนี้ไว้ จะไม่เป็นเพียงสายลมที่พัดผ่านไปเท่านั้น หวังว่าท่าทีของกรมศิลปากรต่อกรณีนี้ จะเป็นจุดเริ่มต้นที่นำไปสู่การทลายเพดานความคิดเรื่องคุณค่าทางสถาปัตยกรรมที่ถูกขีดเส้นแบ่งไว้ที่ปี ๒๔๗๕ ลงอย่างจริงจังเสียที
<br />
<br /><span style="font-size:130%;">ข้อเท็จจริงว่าด้วยความเสื่อมสภาพของอาคาร</span> :
<br />จากที่กล่าวมา ผู้เขียนหวังว่าได้ให้ภาพที่ชัดเจนเพียงพอต่อคุณค่าทางสถาปัตยกรรมและประวัติศาสตร์ของกลุ่มอาคารศาลแล้ว ดังนั้นในหัวข้อนี้จึงอยากจะย้อนกลับมาที่ประเด็นที่ฝ่ายสนับสนุนการรื้อได้กล่าวไว้ว่า อาคารศาลอยู่ในสภาวะเสื่อมสภาพจนไม่อาจใช้การได้อีกต่อไป<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[17]</a> ว่า มีข้อเท็จจริงที่น่าเชื่อถือมากน้อยเพียงใด
<br />
<br />เมื่อราวปี ๒๕๔๖ ทางสำนักงานศาลยุติธรรมได้ว่าจ้าง ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เพื่อทำวิจัยชื่อ <strong>“โครงการศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาอาคารศาลฎีกาและอาคารบริเวณรอบศาลฎีกา”</strong> โดยแล้วเสร็จส่งให้กับทางสำนักงานศาลยุติธรรมไปเมื่อราวปี ๒๕๔๘ (ใช้เวลาทำการศึกษาประมาณ ๒ ปี)
<br />
<br />เนื้อหาในงานวิจัยชิ้นนั้น ประกอบด้วยการศึกษาวิเคราะห์และประเมินสภาพกลุ่มอาคารศาลในปัจจุบันว่าอยู่ในสภาพเช่นไร พร้อมทั้งทำการนำเสนอแนวทางในการพัฒนาปรับปรุงพื้นที่ศาลทั้งหมด
<br />
<br /><strong>ในบทที่ ๓ การสำรวจและวิเคราะห์สภาพอาคารปัจจุบันงานวิศวกรรมโยธา</strong> ซึ่งเป็นส่วนที่ว่าด้วยการประเมินสภาพความแข็งแรงของอาคารโดยเฉพาะนั้น ผลการศึกษาในส่วนของการทดสอบกำลังของคอนกรีตบริเวณส่วนล่างของเสาในแต่ละอาคารสรุปได้ว่า <span style="color:#ff0000;">ทุกอาคารไม่มีปัญหาในแง่การรับน้ำหนักแต่อย่างใดเลย<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[18]</a> </span><span style="color:#000000;">
<br /></span>
<br />ในส่วนของความเสียหายที่ปรากฏในแต่ละอาคารพบว่า ในส่วนของอาคารกระทรวงยุติธรรมเดิม (อาคารปลายตัววี ด้านหลังอนุสาวรีย์) ไม่พบความเสียหายที่มีผลกระทบต่อความมั่นคงแข็งแรงของโครงสร้างอาคาร แต่อย่างใด <strong>อาคารฝั่งถนนราชดำเนินใน</strong> (ปัจจุบันคืออาคารศาลฎีกา) พบความเสียหายที่มีผลต่อความมั่นคงแข็งแรงแต่ไม่ได้เป็นความเสียหายที่มีนัยสำคัญ <strong>ส่วนปีกอาคารฝั่งที่ติดกับคลองคูเมืองเดิม</strong> พบความเสียหายที่มีผลต่อความมั่นคงแข็งแรงอย่างมีนัยสำคัญ คือ <span style="color:#ff0000;">รอยร้าวจากเหล็กยืนภายในเสาเป็นสนิม</span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[19]</a>
<br />
<br />จากผลการศึกษาข้างต้นจะพบว่า กลุ่มอาคารศาลแม้จะมีความเสียหายปรากฏให้เห็น แต่ก็มีเพียงเล็กน้อยที่ส่งผลต่อความมั่นคงแข็งแรงอย่างมีนัยสำคัญ ซึ่งเป็นเรื่องปกติของอาคารที่ใช้งานมานาน <strong>ที่สำคัญที่สุดคือ ผลสรุปไม่ได้แสดงว่า ความเสียหายนี้จะต้องนำมาสู่การเสื่อมสภาพการใช้งานจนต้องรื้อทิ้งแต่อย่างใด ทุกความเสียหายล้วนมีทางแก้ไขได้โดยไม่ได้ลำบาก
<br /></strong>
<br />ผลสรุปข้างต้นที่ไม่ได้แสดงถึงความเสื่อมสภาพจนเกินเยี่ยวยาดังกล่าว น่าจะเป็นที่ทราบดีในหมู่ผู้ที่สนับสนุนการรื้อ เพราะสังเกตได้จาก บทความเรื่อง “ต้องทุบอาคารศาลฎีกาทิ้ง” ของ พฤตินัย (ลงในมติชน เมื่อวันที่ ๒๗ ตุลาคม ๒๕๕๐) <strong>ผู้ที่อยากให้มีการรื้ออย่างเต็มที่และกล่าวว่าอาคารเสื่อมสภาพหมดแล้ว ก็ยังเขียนในเชิงขัดแย้งในตัวเองและยอมรับอยู่ในทีเกี่ยวกับเรื่องความแข็งแรงว่า</strong>
<br />
<br /><em>“.....ปัจจุบันความเห็นของวิศวกรผู้เชี่ยวชาญ ยังมีความเห็นแตกต่างกันอยู่ ไม่เป็นที่ยุติ.....” </em>
<br /><em>
<br /></em>ส่วนข้ออ้างอื่นๆ อาทิ
<br /><em>“.....สถานที่เก็บมูลถ่ายอุจจาระบริเวณห้องขังเดิมของศาลอาญากรุงเทพใต้และศาลแขวงดุสิตเต็มจนทำให้อุจจาระล้นขึ้นออกมาภายนอก เป็นที่น่ารังเกียจและอุจาดไปทั่ว..... นอกจากนี้ยังไม่รวมถึงสภาพรั่วไหลและรั่วซึมของน้ำบนหลังคาศาลและสภาพรั่วซึมของทุกชั้นทุกศาลภายในอาคารศาลฎีกาทั้งหมด ซึ่งไม่สามารถแก้ไขซ่อมแซมให้หายขาดได้.....”</em> <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[20]</a>
<br />
<br />สิ่งเหล่านี้ล้วนมิใช่ประเด็นหลักที่ต้องทำการรื้ออาคารทั้งหมดแต่อย่างใด (และข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการรั่วก็มิได้เกิดการรั่วมากมายในทุกจุดทุกชั้นทุกทีตามที่กล่าวอ้างแต่อย่างใด) <span style="color:#ff0000;">เพราะ บ้านที่ฝนรั่วและส้วมเต็มคงไม่มีเจ้าของบ้านคนไหนแก้ไขด้วยวิธีการรื้อบ้านแล้วสร้างใหม่อย่างแน่นอน</span>
<br />
<br /><strong>เหตุผลอีกประการที่ใช้อธิบายเหตุผลในการรื้อคือ ความต้องการในการใช้พื้นที่ที่เพิ่มมากขึ้นกว่าในอดีตอย่างมากมาย ซึ่งในประเด็นนี้ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่าเป็นประเด็นสำคัญ และเห็นใจ หากไม่มีที่ทำงานเพียงพอ ซึ่งจะพลอยทำให้เสียภาพลักษณ์ของสถาบันศาลด้วย </strong>
<br />
<br />แต่จากข้อเท็จจริงที่ผ่านมา กลุ่มอาคารศาลได้มีการย้ายหน่วยงานศาลอื่นออกไปแล้วไม่น้อย โดยเฉพาะล่าสุดคือ <strong>ศาลอาญากรุงเทพฯ ใต้</strong> ดังนั้นผู้เขียนเห็นว่า เพื่อความชัดเจน ควรมีการสำรวจพื้นที่และประเมินความต้องการในการใช้พื้นที่อย่างจริงจังเสียก่อน แล้วค่อยมาพิจารณากันในลำดับต่อไป มากกว่าที่จะเป็นการพูดลอยๆ บนการประเมินจากสายตาเท่านั้น
<br />
<br />ที่น่าสังเกตที่สุดคือ ถ้าดูจากแบบใหม่ในการก่อสร้าง ก็จะพบว่า ไม่ได้ขยายพื้นที่เพิ่มขึ้นมากแต่อย่างใดเลย การออกแบบผังอาคารใหม่ เหมือนกับแบบเดิมเกือบทั้งหมด ความสูงและจำนวนชั้นก็มิได้แตกต่างกัน ซึ่งน่าสงสัยต่อการเพิ่มพื้นที่ใช้สอยว่า จะเพิ่มมากขึ้นมากน้อยเพียงใด แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นผู้เขียนยังมิได้เคยเห็นแบบตัวจริงทั้งหมด การประเมินนี้คงยังไม่อาจสรุปได้ง่ายนัก
<br />
<br />อย่างไรก็ตาม เมื่อประมวลจากทั้งหมดแล้ว ในทัศนะผู้เขียน (ซึ่งถกเถียงกันได้ และควรถกเถียงต่อไปมากๆ ด้วย โดยอย่าเพิ่งรีบรื้ออาคารลงเสียก่อน) ไม่พบเหตุผลที่มีน้ำหนักมากเพียงพอแต่อย่างใดในการรื้อกลุ่มอาคารศาลนี้ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง หากมองอย่างเห็นคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ได้กล่าวไปมากแล้วในหัวข้อที่ผ่านมาประกอบด้วย
<br />
<br />เมื่อเป็นเช่นนี้ ผู้เขียนจึงได้พยายามวิเคราะห์ว่า อะไรคือสาเหตุหลักที่อยู่เบื้องหลังความต้องการในการรื้อ ซึ่งในที่สุดผู้เขียนพบว่า <strong>สาเหตุสำคัญน่าจะเกิดจาก ความต้องการในรูปทรงภายนอกของอาคารมากกว่าสิ่งอื่นใด โดยมีความต้องการอยากได้อาคารศาลฎีกาที่มีรูปทรงทางสถาปัตยกรรมเป็นรูปทรงไทยเพียงเท่านั้น </strong>
<br /></em><strong></strong>
<br /><span style="font-size:130%;">๓,๗๐๐ ล้านบาทเพื่อหลังคาทรงไทย?</span> :
<br />หากย้อนทบทวนประวัติศาสตร์ จะพบว่า ความต้องการรื้อกลุ่มอาคารศาลครั้งนี้มิใช่ครั้งแรกแต่อย่างใด แต่<span style="color:#ff0000;">แนวคิดนี้ได้เกิดขึ้นนับตั้งแต่อาคารศาลด้านฝั่งถนนราชดำเนินในเปิดใช้งานไปได้เพียง ๒๓ ปี คือในปี ๒๕๒๙</span> โดยคณะรัฐมนตรีในสมัยนั้นอนุมัติให้มีการรื้ออาคารศาลฎีกาลงเพื่อสร้างใหม่ในที่เดิม ต่อมาในปี๒๕๓๕ ได้มีมติเห็นชอบในรูปแบบอาคารศาลฎีกาใหม่ พร้อมทั้งอนุมัติงบประมาณราว ๒,๓๐๐ ล้านบาท เพื่อใช้ในการก่อสร้าง <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[21]</a>
<br />
<br />ความคิดในการรื้ออาคารหลังจากที่มีการใช้งานไปเพียง ๒๓ ปี เป็นเรื่องที่ผิดปกติอย่างยิ่ง ความคิดดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างไร เหตุผลย่อมไม่ใช่เรื่องความเสื่อมสภาพของอาคารอย่างแน่นอน เพราะ ๒๓ ปีในอายุการใช้งานของอาคารนั้นถือว่ายังใหม่เกินกว่าจะทำการรื้อสร้างใหม่ ผู้เขียนคิดว่า เหตุผลสำคัญที่อยู่เบื้องหลังและผลักดันความคิดดังกล่าวคือ <strong>ความไม่พอใจในรูปแบบสถาปัตยกรรมโมเดิร์นของคณะราษฎร ที่ในสายตาคนทั่วไปแล้ว ไม่มีความเป็นไทยเท่าที่ควร </strong></div><strong></strong></div><strong></strong></div><strong></strong></div>
<br /><div>
<br /><div><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjl9hEqjG7hiVBqqy0tk2w3jmrBnupLFGprUiv6TPu6Mv8Ggxm40SoSY9YXr5UB8rl4oTqUV2HW-7s04uCuoq2B4B_aTwJZAsbjg0k-P3xriSGXezlbbjBRRn9GN66C8Q__K9w2fn-R7Qe9/s1600-h/ศาลà¹à¸«à¸¡à¹à¸¡à¸¸à¸¡à¸ªà¸¹à¸.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181662275469287826" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEjl9hEqjG7hiVBqqy0tk2w3jmrBnupLFGprUiv6TPu6Mv8Ggxm40SoSY9YXr5UB8rl4oTqUV2HW-7s04uCuoq2B4B_aTwJZAsbjg0k-P3xriSGXezlbbjBRRn9GN66C8Q__K9w2fn-R7Qe9/s400/%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88%E0%B8%A1%E0%B8%B8%E0%B8%A1%E0%B8%AA%E0%B8%B9%E0%B8%87.jpg" border="0" /></a><a href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSnV5n0emLAcpWKlyJODkoGHZyIFonHDRVi2Fu_wQmpUKWISPTVibXKauT7Xe6JH511l3yHG1My8p2vvItbRXIdjKeuZGj1y4vWDlfxAgxIavrBQ-EmlVI5PjHhA4sCGlSALq-C2Roxo-A/s1600-h/รูà¸à¸à¹à¸²à¸à¸¨à¸²à¸¥à¹à¸«à¸¡à¹.jpg"><img id="BLOGGER_PHOTO_ID_5181662275469287842" style="CURSOR: hand" alt="" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgSnV5n0emLAcpWKlyJODkoGHZyIFonHDRVi2Fu_wQmpUKWISPTVibXKauT7Xe6JH511l3yHG1My8p2vvItbRXIdjKeuZGj1y4vWDlfxAgxIavrBQ-EmlVI5PjHhA4sCGlSALq-C2Roxo-A/s400/%E0%B8%A3%E0%B8%B9%E0%B8%9B%E0%B8%94%E0%B9%89%E0%B8%B2%E0%B8%99%E0%B8%A8%E0%B8%B2%E0%B8%A5%E0%B9%83%E0%B8%AB%E0%B8%A1%E0%B9%88.jpg" border="0" /></a>
<br /><span style="font-size:85%;">บน: หุ่นจำลองแสดงรูปทรงอาคารกลุ่มศาลฎีกาใหม่
<br />ล่าง: รูปด้านทางสถาปัตยกรรมทั้งสี่ด้านของกลุ่มอาคารศาลฎีกาใหม่</span></div>
<br /><div>
<br />รูปแบบอาคารศาลที่ออกแบบใหม่ ณ ช่วงนั้น ได้รับการออกแบบให้เป็น <strong>“สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์” </strong>ประกอบด้วย <strong>“ยอดปราสาท”</strong> เลียนแบบคล้ายยอดปราสาทในพระบรมมหาราชวัง แต่โครงการถูกระงับไปก่อน เนื่องจากปัญหาเศรษฐกิจ จวบจนมาถึงในปัจจุบัน โครงการนี้จึงได้ถูกปัดฝุ่นขึ้นอีกครั้ง โดยมีการปรับรายละเอียดในรูปแบบสถาปัตยกรรมไปบ้าง ยกเลิกการนำยอดปราสาทมาใช้ อันเนื่องมาจากกระแสในการตระหนักถึง<strong>“ฐานานุศักดิ์ในงานสถาปัตยกรรม”</strong>
<br />
<br />อย่างไรก็ตามรูปแบบโดยรวมก็ยังเป็นงาน “สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์” ที่หยิบยืมรูปแบบหลังคาและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมแบบจารีต ประเภทวัดและวัง (ที่เป็นภาพตัวแทนความเป็นไทยเพียงอย่างเดียวในแวดงวงสถาปัตยกรรม) มาปรับสวมลงในผังอาคารสมัยใหม่เช่นเดิม
<br />
<br />ดังจะเห็นได้จากแนวความคิดล่าสุดในการออกแบบรูปทรงของอาคารศาลฎีกาใหม่ที่ปรากฏทางสื่อคือ
<br />
<br /><em>“.....อาคารศาลฎีกาเป็นสถาปัตยกรรมที่แสดงออกถึงเอกลักษณ์ของความเป็นไทยในยุคปัจจุบัน พัฒนาแนวความคิดที่สืบสานต่อจากอดีต กล่าวคือเป็นแบบอย่างของสถาปัตยกรรมที่ประสานสนองประโยชน์ใช้สอยของปัจจุบันที่สมบูรณ์กับลักษณะไทยที่คงรักษาฉันทลักษณ์เดิมไว้ได้อย่างเหมาะสมในทุกส่วนขององค์ประกอบทางสถาปัตยกรรม.....”</em> <a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[22]</a>
<br />
<br />หรือในส่วนการออกแบบภายในก็จะพบแนวคิดนี้เช่นกันคือ
<br /><em>“.....เอกลักษณ์ของความสง่างามแบบไทยประเพณี ได้แก่ห้องโถง ทางเข้าใหญ่ของอาคารและห้องพิจารณาคดีใหญ่ ซึ่งเป็นห้องที่สำคัญที่จะต้องออกแบบให้มีความสง่างามและมีเอกลักษณ์ของไทยตามแบบอย่างลักษณะโบราณประเพณี.....” </em><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[23]</a>
<br /><em>
<br /></em>เมื่อแนวคิดเป็นเช่นนี้ รูปแบบจึงปรากฏออกมาอย่างน่าตกใจ กลุ่มอาคารศาลฎีกาใหม่ เป็น
<br />“งานสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์” ที่ดูหลงยุคหลงสมัยจนไม่น่าจะเกิดขึ้นได้ในยุคปัจจุบัน
<br />
<br />เมื่อพิจารณาดูผังโดยภาพรวมจะเห็นว่า <strong>มิได้แตกต่างอย่างมีนัยสำคัญเลยจากผังที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน</strong> จนน่าสงสัยว่าแบบใหม่จะช่วยทำให้มีพื้นที่เพิ่มขึ้นได้มากน้อยแค่ไหน <span style="color:#ff0000;">สิ่งที่ต่างกันมีเพียงผืนหลังคาขนาดจั่วทรงไทยขนาดยาวมหึมาที่ครอบสวมลงไปบนผังแบบเดิม และองค์ประกอบอื่นๆ ของงานสถาปัตยกรรมแบบประเพณีที่ประดับอยู่ตามหัวเสาและฐานอาคารเพียงเท่านั้น </span>
<br />
<br />อีกสิ่งหนึ่งที่แตกต่างคือ <strong>ได้มีการออกแบบอาคารขนาดใหญ่หลังหนึ่งรูปทรงคล้ายโบสถ์ มีความสูงประมาณ ๔ ชั้น ตั้งอยู่บนพื้นที่ว่างตรงกลางของผังรูปตัววีเดิม ด้วยรูปทรงและมวลอาคารที่ดูเสมือนว่าเป็นการขยายสัดส่วนมาจากโบสถ์แบบประเพณีเดิมหลายเท่าตัว ทำให้ หากมีการก่อสร้างจริงจะเป็นอาคารที่มีสัดส่วนใหญ่โตจนน่ากลัวและดูหลอกตาเป็นอย่างยิ่ง </strong>
<br /><strong>
<br /></strong>รูปแบบที่ดูผิดยุคสมัยนี้ ย่อมไม่อาจกล่าวโทษไปที่สถาปนิกคนใดคนหนึ่งได้ เพราะสิ่งนี้เป็นปรากฏการณ์ทางสังคมที่อยู่นอกเหนือการควบคุมของปัจเจกคนใดคนหนึ่ง อันเป็นผลผลิตของมายาคติใหญ่ในสังคมไทยที่สั่งสมมายาวนานว่า เอกลักษณ์ไทยในทางสถาปัตยกรรมคือ อาคารที่มีหลังคาจั่วทรงสูง มายาคตินี้เริ่มถูกสั่งสมภายใต้นโยบาย <strong>“ชาตินิยมไทย”</strong> ในราวทศวรรษที่ ๒๔๙๐ เป็นต้นมา โดยอาศัยอิงแอบสร้างความเป็นไทยอย่างง่ายๆ กับเปลือกนอกทางสถาปัตยกรรมแบบจารีตต่างๆ ในอดีต ซึ่งเป็นความเชื่อและวิธีการหาความเป็นไทยที่ฝังลึกและ <strong>“เอาง่ายเข้าว่า”</strong> มาอย่างยาวนานแล้วในสังคมไทย
<br /></strong>
<br />อาคารราชการทั้งหมดในสมัยนั้นจะต้องสร้างขึ้นโดยมีหลังคาจั่วทรงสูง พร้อมกับมีการประดับตกแต่งด้วยลวดลายสถาปัตยกรรมแบบจารีตที่ถูกลดทอนลายละเอียดลงให้ดูเรียบง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้คือสูตรสำเร็จในการสร้างเอกลักษณ์ไทยในทางสถาปัตยกรรม ตัวอย่างที่สำคัญคือ อาคารราชการสองฟากฝั่งถนนราชดำเนินนอก โรงละครแห่งชาติ หอประชุมธรรมศาสตร์ ฯลฯ
<br />
<br />มายาคตินี้ได้รับการสืบทอดต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าตลอดระยะเวลาหลายสิบปีที่ผ่านมา ในแวดวงสถาปัตยกรรมจะวิพากษ์วิจารณ์ “สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์” มากมายเพียงใดก็ตาม รูปแบบดังกล่าวก็ยังคงมีพลังในการเป็นตัวแทนของความเป็นไทยมาได้โดยตลอด หรือแม้แต่สถาปนิกที่ชอบวิพากษ์วิจารณ์รูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ หลายคนก็ยังตกอยู่ใต้มายาคติของรูปทรงจั่วสามเหลี่ยมไม่แตกต่างกันแต่อย่างใด ดังจะเห็นได้จากงานสถาปัตยกรรมร่วมสมัยที่อ้างถึงความเป็นไทย ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นต้องใช้รูปทรงจั่วสามเหลี่ยมมาเป็นสื่อหลักในการอธิบายความเป็นไทยอยู่นั่นเอง
<br />
<br /><span style="color:#ff0000;">ด้วยมายาคติดังกล่าว ผสานกับกระแสประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมที่ต้องการลบความทรงจำเกี่ยวกับคณะราษฎรออกไปจากสังคมไทย</span> (ดังที่กล่าวมาในตอนต้น) ได้ส่งผลผสมผสานทำให้ กลุ่มอาคารศาลฎีกา ที่เป็นสถาปัตยกรรมโมเดิร์นซึ่งไม่มีหลังคาจั่วทรงไทย อีกทั้งยังถูกสร้างขึ้นโดยกลุ่มผู้นำในคณะราษฎร จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ต้องถูกจัดการรื้อทำลายลง และสร้างกลุ่มอาคารศาลหลังคาทรงไทยขึ้นแทน เพื่อเป้าหมายในการสร้างความเป็นไทย และรื้อความทรงจำที่เกี่ยวเนื่องกับคณะราษฎรลงไปพร้อมๆ กัน
<br />
<br />น่าสังเกตว่า สถาปัตยกรรมโมเดิร์น หากผสานเรื่องราวให้สอดคล้องกับประวัติศาสตร์แบบราชาชาตินิยมได้ ก็จะไม่ประสบชะตากรรมที่น่าสงสารเช่นนี้ ตัวอย่างเช่น <strong>“ศาลาเฉลิมกรุง” ซึ่งเป็นสถาปัตยกรรมโมเดิร์น ไม่ต่างจากอาคารในยุคคณะราษฎรเลย แต่สังคมกลับให้คุณค่าทางสถาปัตยกรรมสูงมากจนไม่มีใครคิดว่าจะต้องรื้อ ด้วยเหตุผลที่ว่า อาคารสร้างมานาน (นานกว่าศาลฎีกาด้วย) จนเสื่อมสภาพหมดแล้ว</strong>
<br />
<br />กล่าวโดยสรุป เมื่อพิจารณาเหตุผลต่างๆ ตลอดจนรูปแบบใหม่ของอาคารที่จะสร้าง ทำให้ผู้เขียนไม่อาจเชื่อได้ว่า เป็นผลของความเสื่อมสภาพของอาคารจนเกินเยียวยา แต่น่าจะเกิดจากความต้องการในรูปทรงของหลังคาจั่วทรงไทยมากกว่าเหตุผลอื่น (แน่นอนเหตุผลของความเสื่อมสภาพ และความต้องการใช้พื้นที่ที่เพิ่มขึ้นมีอยู่จริง แต่นั่นมิใช่เหตุผลหลักในทัศนะผู้เขียน)
<br />
<br />หากเป็นดังที่ผู้เขียนวิเคราะห์จริง (ซึ่งยืนยันอีกครั้งว่าอยากให้มีการถกเถียงในวงกว้างมากกว่านี้) ก็อยากจะตั้งคำถามต่อสังคมว่า สังคมควรยอมให้รัฐจ่ายเงินเป็นจำนวน ๓,๗๐๐ ล้านบาทซึ่งเป็นเงินภาษีของทุกคน ไปใช้เพียงเพื่อให้ได้มาซึ่งอาคารที่ครอบด้วยหลังคาจั่วทรงไทยขนาดมหึมานี้หรือไม่? ที่สำคัญยังทำลายประวัติศาสตร์ชาติและประวัติศาสตร์สถาปัตยกรรมที่มีคุณค่าลงไปอย่างน่าเสียดาย
<br />ความส่งท้าย
<br />
<br />อย่างไรก็ตาม ผู้เขียนเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า กลุ่มอาคารศาล ณ ปัจจุบันอยู่ในสภาพที่ไม่สมเกียรติกับความเป็นสถาบันตุลาการ ซึ่งเป็นสถาบันที่สำคัญที่สุดสถาบันหนึ่งในสังคมไทย และเห็นด้วยอย่างยิ่งว่า ด้วยภารกิจที่เพิ่มขึ้นของศาลฎีกา ย่อมต้องการรูปแบบพื้นที่ใหม่เพื่อรองรับกิจกรรมแบบใหม่ด้วย ซึ่ง ณ ปัจจุบันยังไม่สามารถรองรับได้
<br />
<br />ผู้เขียนขอยืนยันว่า <span style="color:#ff0000;">การวิพากษ์วิจารณ์ทั้งหมดในบทความนี้มิได้มุ่งหมายจะให้มีการเก็บรักษากลุ่มอาคารศาลเดิมนี้ไว้ในสภาพเดิมทุกประการ หรือต้องการจะให้ทำการอนุรักษ์โดยแช่แข็งอาคารไว้ เหมือนเดิมทุกอย่างโดยไม่สามารถปรับเปลี่ยนอะไรได้เลยก็หาไม่</span> เพียงแต่ในการปรับปรุงสภาพพื้นที่ให้สอดรับกับบริบทที่เปลี่ยนไปนั้น มิใช่จะต้องเลือกหนทาง “รื้อ-สร้าง” เพียงอย่างเดียว
<br />
<br />ศาลควรหันมาพิจารณาทางเลือกอื่นที่นอกเหนือไปจากการรื้อสร้างใหม่ทั้งหมดลง โดยหันมาลองพิจารณาเลือกใช้แนวทางการอนุรักษ์ในรูปแบบที่สามารถผสานกับความต้องการในการใช้สอยสมัยใหม่ได้ โดยการออกแบบปรับเปลี่ยนการใช้สอยพื้นที่ภายในอาคารใหม่ ในลักษณะที่ยังดำรงรักษาคุณค่าของตัวอาคารไว้ได้ด้วย ซึ่งสามารถทำได้ในหลากหลายรูปแบบมาก ซึ่งแนวทางเช่นนี้ นอกจากจะสามารถแก้ไขปัญหาเรื่องการใช้สอยแล้ว ยังสามารถใช้มูลค่าเพิ่มทางประวัติศาสตร์ของอาคารมาหนุนเสริมภาพลักษณ์ขององค์กรได้เป็นอย่างดี
<br />
<br />ด้วยหลักฐานต่างๆ ที่ได้ศึกษามาภายใต้ระยะเวลาอันจำกัด ผู้เขียนเชื่อว่า สภาพของอาคารกลุ่มศาล ณ ปัจจุบัน ยังมีศักยภาพสูงมากในการพัฒนาปรับปรุงให้สามารถใช้งานได้อย่าง<strong>สมเกียรติสถาบันศาล</strong> โดยไม่ละเลยคุณค่าทางประวัติศาสตร์ที่ฝังอยู่ในตัวงานสถาปัตยกรรม
<br />
<br />สุดท้าย ผู้เขียนหวังว่า กรณีความพยายาม <strong>“รื้อ-สร้าง”</strong> อาคารศาลฎีกาใหม่ในครั้งนี้ จะนำมาสู่ความตื่นตัวของสังคมในระดับที่กว้างขวางมากขึ้น โครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ซึ่งใช้งบประมาณขนาดนี้ และที่สำคัญคือ เป็นโครงการที่สร้างลงบนพื้นที่ที่มีความสำคัญทางประวัติศาสตร์สูงเช่นนี้ สังคมควรจะลุกขึ้นมาตั้งคำถามอย่างรอบด้านและจริงจังมากขึ้น ประเด็นเหล่านี้ไม่ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของ<span style="color:#ff0000;">ผู้มีอำนาจเพียงไม่กี่คนมานั่งตัดสินนโยบายสาธารณะที่สำคัญเช่นนี้เพียงลำพังอีกต่อไป<a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftn1" name="_ftnref1">[24]</a>
<br /></span>
<br /><span style="color:#000000;">...............................................................................................................</span>
<br /><strong><span style="color:#000000;">เชิงอรรถ</span></strong>
<br />
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[1]</span></a><span style="font-size:85%;"> ดูรายละเอียดใน ข่าวศาลยุติธรรม ปีที่ ๗ ฉบับพิเศษที่ ๗๙ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๙
<br /></span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[2]</span></a><span style="font-size:85%;"> จดหมายข่าวศาลยุติธรรม ปีที่ ๑ ฉบับที่ ๒๒ วันที่ ๓๐ กันยายน ๒๕๕๐
<br /></span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[3]</span></a><span style="font-size:85%;"> หจช., (๒) สร ๐๒๐๑.๘๗.๓.๑/๔ รายงานการเปิดตึกที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๔, หน้า ๒.ซึ่งเป็นกลุ่มอาคารขนาดใหญ่ที่สุดในพื้นที่ และมีอายุเก่าแก่ที่สุด
<br /></span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[4]</span></a><span style="font-size:85%;"> หจช., (๔) ศธ ๒.๓.๖/๑๑ รายงานการประชุมคณะกรรมการพิจารณาดำเนินการสร้างกระทรวงและศาลยุติธรรม วันที่ ๓ มิถุนายน ๒๔๘๓, หน้า ๑.
<br /></span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[5]</span></a><span style="font-size:85%;"> กระทรวงยุติธรรม, ๑๐๐ ปีกระทรวงยุติธรรม (กรุงเทพฯ: กระทรวงยุติธรรม, ๒๕๓๕), หน้า ๑๗๓-๑๗๕. (วันชาติ และ วันที่ประเทศไทยเปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย)
<br /></span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[6]</span></a><span style="font-size:85%;"> เพิ่งอ้าง, หน้า ๑๙๑.
<br /></span><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.g?blogID=1536154279973326788&postID=3111829748384044807#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[7]</span></a><span style="font-size:85%;"> บันทึกเจ้าพระยาศรีธรรมาธิเบศร์ วันที่ ๒๕ พฤศจิกายน ๒๔๘๑ อ้างถึงใน ที่ระลึกในการเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดอาคารที่ทำการศาลแพ่งและศาลฎีกา ๑๕ พฤษภาคม พ.ศ. ๒๕๐๖, หน้า ๒๑. </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[8]</span></a><span style="font-size:85%;"> หจช., (๒) สร ๐๒๐๑.๘๗.๓.๑/๔ รายงานการเปิดตึกที่ทำการกระทรวงยุติธรรม ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๔, หน้า ๑.</span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[9]</span></a><span style="font-size:85%;"> ดูรายละเอียดใน เพ็ญศรี ดุ๊ก, การต่างประเทศกับเอกราชและอธิปไตยของไทย (กรุงเทพฯ: ราชบัณฑิตยสถาน, ๒๕๔๔), หน้า ๑๖๕-๑๘๘. </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[10]</span></a><span style="font-size:85%;"> เพิ่งอ้าง, หน้า ๑๘๔.</span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[11]</span></a><span style="font-size:85%;"> วัธนธัมทางการสาล (พระนคร: บริษัทโสภณพิพัธนากร, ๒๔๘๖), หน้า ๓๙.ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีเอกราชสมบูรณ์อย่างแท้จริง </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[12]</span></a><span style="font-size:85%;"> ข้อมูลนี้เกิดขึ้นจากการพูดคุยกับหลายๆ คนเกี่ยวกับเหตุการณ์ “การได้เอกราชสมบูรณ์ทางการศาล” ในช่วงเวลาราว ๑ เดือนที่ผ่านมา โดยในหลายคนที่มีโอกาสได้พูดคุยด้วยนั้น เป็นบุคคลที่อยู่ในแวดวงของศาล และมีตำแหน่งระดับสูงหลายคน อย่างไรก็ตาม ในเชิงปริมาณแล้ว ก็ยังไม่อาจกล่าวสรุปได้ว่า นี่คือความทรงจำร่วมทั้งหมดของสังคมไทย ณ ปัจจุบัน</span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[13]</span></a><span style="font-size:85%;"> ดูรายละเอียดใน สมชาย ปรีชาศิลปกุล, “ความยอกย้อนในประวัติศาสตร์ของบิดาแห่งกฏหมายไทย,” ศิลปวัฒนธรรม ปี ๒๓ ฉบับที่ ๙ (กรกฎาคม ๒๕๔๕): ๗๐-๘๖. และ ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๓ ฉบับที่ ๑๐ (สิงหาคม ๒๕๔๕): ๘๒-๘๙. 3</span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[14]</span></a><span style="font-size:85%;"> ดู ธงชัย วินิจจะกูล, “ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม: จากยุคอาณานิคมอำพรางสู่ราชาชาตินิยมใหม่หรือลัทธิเสด็จพ่อของกระฏุมพีไทยในปัจจุบัน,” ศิลปวัฒนธรรม ปี ๒๓ ฉบับที่ ๑ (พฤศจิกายน ๒๕๔๔): ๕๖-๖๕. </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[15]</span></a><span style="font-size:85%;"> ดูรายละเอียดงานเฉลิมฉลองใน ไทยในสมัยรัฐธรรมนูญ ที่ระลึกในงานฉลองวันชาติและสนธิสัญญา ๒๔ มิถุนายน ๒๔๘๒ (ม.ป.ท.) (ม.ป.ป.)</span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[16]</span></a><span style="font-size:85%;"> ดูรายละเอียดใน ชาตรี ประกิตนนทการ, การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม (กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๗), หน้า ๒๘๕-๓๕๖. ซึ่งกลุ่มอาคารศาลคือหนึ่งในสถาปัตยกรรมในความหมายดังกล่าว </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[17]</span></a><span style="font-size:85%;"> ดูการให้เหตุผลเรื่องการเสื่อมสภาพของอาคารจาก พฤตินัย (นามแฝง), "ต้องทุบอาคารศาลฎีกาทิ้ง," มติชน วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐. </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[18]</span></a><span style="font-size:85%;"> ศูนย์บริการวิชาการแห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย, โครงการศึกษาวิเคราะห์สภาพปัญหาอาคารศาลฎีกาและอาคารบริเวณรอบศาลฎีกา เสนอต่อสำนักงานศาลยุติธรรม (เอกสารไม่ได้ตีพิมพ์), หน้า ๓_๒๓. </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[19]</span></a><span style="font-size:85%;"> เพิ่งอ้าง, หน้า ๓_๓๐-๓_๓๒. </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[20]</span></a><span style="font-size:85%;"> พฤตินัย (นามแฝง), "ต้องทุบอาคารศาลฎีกาทิ้ง," มติชน วันที่ ๒๗ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๕๐.</span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[21]</span></a><span style="font-size:85%;"> ข่าวศาลยุติธรรม ปีที่ ๗ ฉบับพิเศษที่ ๗๙ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๙.</span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[22]</span></a><span style="font-size:85%;"> “เปิดโมเดล"อาคารศาลฎีกา"ใหม่ ทุบหลังเก่าทิ้งท่ามกลางเสียงค้าน จับตา"ปธ.ฎีกา"ตัดสินใจหาทางออก” มติชน วันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๕๐. </span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[23]</span></a><span style="font-size:85%;"> เพิ่งอ้าง</span>
<br /><a title="" style="mso-footnote-id: ftn1" href="http://www.blogger.com/post-edit.do#_ftnref1" name="_ftn1"><span style="font-size:85%;">[24]</span></a><span style="font-size:85%;"> นอกจากประเด็นต่างๆ ที่นำเสนอในบทความนี้แล้ว ยังมีประเด็นสำคัญอีกประการที่ผู้เขียนคิดว่าสำคัญมาก แต่ยังไม่มีความรู้เพียงพอจะเข้าไปวิพากษ์อย่างเป็นระบบได้ นั่นก็คือ หากโครงการศาลฎีกาใหม่ได้รับการก่อสร้างจริง จะก่อให้เกิดประเด็น “สองมาตรฐาน” ของคณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์อย่างชัดเจน และจะนำมาซึ่งผลกระทบในวงกว้างมากๆ ต่อนโยบายการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ในอนาคต ซึ่งคงจะต้องมีผู้รู้ช่วยกันพิจารณากันต่อไป </span>
<br />...............................................................................................................
<br /><span style="font-size:85%;">อังคาร 25</span>
<br /><span style="font-size:85%;">มีนา 51</span> </div></div>
<br />historyMcmuhttp://www.blogger.com/profile/10528487425341058007noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1536154279973326788.post-62376006339165791762008-02-20T23:26:00.001-08:002008-02-20T23:54:07.210-08:00โปรดฟังอีกครั้งในรอบ 75 ปี เมื่อ ‘ลูกพระยาพหลฯ’ อ่านประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ 1 จาก ประชาไท<p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-size:130%;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:10;color:red;" lang="TH" >เวทีเสวนา </span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:10;color:red;" ><span style="font-size:130%;">‘<span lang="TH">เบื้องหลังการอภิวัฒน์ </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2475’<br /><br /></span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:10;color:red;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><a href="http://prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=8610&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai"><span style="font-weight: bold;">ประชาไท</span></a> </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >– 25 <span lang="TH">มิ.ย. </span>50 <span lang="TH">เมื่อวันที่ </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. <span style="font-weight: bold;color:black;" >คณะมนุษยศาสตร์และสังคม มหาวิทยาลัยราชภัฎพระนคร</span></span><span style="color:black;"><span style="font-weight: bold;">,</span><span lang="TH"><span style="font-weight: bold;"> สโมสร 19 และบริษัท ชนนิยม จำกัด</span> </span></span><span lang="TH">จัดงานเสวนาประวัติศาสตร์รำลึก </span>75<span lang="TH"> ปี ประชาธิปไตย </span><span style="font-weight: bold;">‘เบื้องหลังการอภิวัฒน์ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2475’</span> <span lang="TH">ณ มหาวิทยาลัยราชภัฏพระนคร โดยก่อนจะเริ่มการเสวนาได้กล่าวไว้อาลัยและสงบนิ่งถึงการจากไปของท่านผู้หญิงพูนสุข พนมยงค์ ภรรยานายปรีดี พนมยงค์ แกนนำคณะราษฎรคนสำคัญ<br /><br /></span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >นอกจากนี้ เนื่องในโอกาสที่การอภิวัฒน์ พ.ศ. </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >2475 <span lang="TH">ครบรอบ </span>75 <span lang="TH">ปี<span style="font-weight: bold;"> พ.ต.พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา</span> ได้อ่าน<span style="color: rgb(255, 0, 0); font-weight: bold;">แถลงการณ์คณะราษฎร ฉบับที่</span> </span><span style="color: rgb(255, 0, 0); font-weight: bold;">1</span> <span lang="TH">(ตามล้อมกรอบ) ย้อนรอยเส้นทางที่ <span style="font-weight: bold;">พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา</span> บิดาซึ่งเป็นผู้นำคณะราษฎรที่เคยประกาศไว้ต่อหน้าบรรดาทหารและผู้ร่วมอุดมการณ์เมื่อวันที่ </span>24 <span lang="TH">มิถุนายน พ.ศ. </span>2475 <span lang="TH">ณ ลานพระบรมรูปทรงม้า เนื้อหาสำคัญของประกาศดังกล่าว คือ <span style="font-weight: bold;">หลัก </span></span><span style="font-weight: bold;">6 </span><span lang="TH"><span style="font-weight: bold;">ประการ</span> ที่แสดงถึงความเป็นประชาธิปไตยที่ก้าวพ้นจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br /><br /></span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200706/25_131155_22.jpg" border="0" height="261" width="300" /></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;color:red;" lang="TH" >นายศุขปรีดา พนมยงค์<br /><br /><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >เมื่อการเสวนาเริ่มต้น <span style="font-weight: bold;">นายศุขปรีดา พนมยงค์ </span>ทายาท <span style="font-weight: bold;">นายปรีดี พนมยงค</span>์ เล่าถึงที่มาของการอภิวัฒน์ใน พ.ศ. </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >2475<span lang="TH"> ว่า แรงบันดาลใจของคณะราษฎรมาจาก<span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">เหตุการณ์ ร.ศ. </span></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">130</span> <span lang="TH">ซึ่งมีทหารหนุ่มกลุ่มหนึ่งต้องการประชาธิปไตย แต่บังเอิญเกิดมีผู้กลับใจไปเข้าข้างผู้มีอำนาจจึงไม่สำเร็จ อย่างไรก็ตาม ทางคณะราษฎรก็มีความรู้สึกถึงผู้ก่อการใน ร.ศ. </span>130 <span lang="TH">ว่าเป็นรุ่นพี่ </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />ขณะนั้น นายปรีดี ศึกษาอยู่ในประเทศฝรั่งเศสเห็นว่าคนยังได้รับความทุกข์ยาก ต้องเกิดการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ต่อมา พ.ศ.</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >2468 – 69 <span lang="TH">จึงคิดเริ่มต้นกันที่เมืองปารีสโดยเริ่มแรกมี </span>7 <span lang="TH">คน (ประกอบด้วย <span style="font-weight: bold;">ร.ท. ประยูร ภมรมนตรี</span> นายทหารกองหนุน อดีตผู้บังคับหมวดทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์รัชกาลที่ </span>6 <span lang="TH"><span style="font-weight: bold;">ร.ท. แปลก ขีตตะสังคะ </span>นักศึกษาในโรงเรียนนายทหารปืนใหญ่ฝรั่งเศส <span style="font-weight: bold;">ร.ต. ทัศนัย มิตรภักดี </span>นักศึกษาในโรงเรียนนายทหารม้าฝรั่งเศส<span style="font-weight: bold;"> นายตั้ว ลพานุกรม</span> นักศึกษาวิทยาศาสตร์ในสวิตเซอร์แลนด์ <span style="font-weight: bold;">หลวงสิริราชไมตรี </span>ผู้ช่วยสถานทูตสยามประจำกรุงปารีส <span style="font-weight: bold;">นายแนบ พหลโยธิน</span> เนติบัณฑิตอังกฤษ <span style="font-weight: bold;">นายปรีดี พนมยงค์</span> ดุษฎีบัณฑิตกฏหมายฝ่ายนิติศาสตร์ ฝรั่งเศส) </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />จากนั้นเมื่อกลับสู่ประเทศไทยจึงขยายวงด้วยการไปเชิญ <span style="font-weight: bold;">พ.อ.พระยาพหลพลพยุหเสนา</span> ซึ่งเป็นรองจเรทหารบกซึ่งเห็นความเหลื่อมล้ำไม่เป็นธรรมอยู่แล้วมาร่วมด้วย โดยก่อนนี้ พ.อ.พระยาพหลฯ ได้เคยเสนอให้ปรับปรุงกองทัพ แต่ก็ถูกปฏิเสธด้วยเหตุผลเรื่องความอ่อนอาวุโสกว่า</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />ในเวลาต่อมา ทางคณะราษฎร มี <span style="font-weight: bold;">พ.อ.พระยาทรงสุรเดช พ.ท. พระประศาสน์พิทยายุทธ พ.อ.พระยาฤทธิ์อัคเณย</span>์มาร่วมเพิ่ม เมื่อรวมกับ พ.อ. พระยาพหลฯ แล้วเรียกว่า </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">4 </span><span lang="TH"><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">ทหารเสือ</span> นอกจากนี้ ยังมีฝ่ายทหารเรือมาร่วมอีกกลุ่มหนึ่ง </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />ที่สำคัญการก่อการ พ.ศ. </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >2475 <span lang="TH">ยังมี<span style="color: rgb(255, 0, 0);">ชาวไทยมุสลิม</span> ได้แก่ <span style="font-weight: bold;">นายบรรจง ศรีจรูญ</span> นักศึกษาไทยที่เมืองไคโร ประเทศอียิปต์ และ<span style="font-weight: bold;">นายแช่ม พรหมยงค์ </span>อดีตจุฬาราชมนตรี ด้วย ส่วน<span style="color: rgb(255, 0, 0);">ชาวคาธอลิก</span>ก็มาช่วยในด้านงานพิมพ์แถลงการณ์ฉบับที่ </span>1 <span lang="TH">ที่โรงพิมพ์นิติสาส์น หลังพิมพ์เสร็จก็สั่งรื้อแท่นพิมพ์ทันที</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />นายศุขปรีดา บรรยายเบื้องหลังของแผนการว่า แผนการแรกคิดว่าจะลงมือตอน<span style="font-weight: bold;">รัชกาลที่ </span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-weight: bold;">7</span> <span lang="TH">แปรพระราชฐานไปที่หัวหิน ซึ่งต้องไปขึ้นรถไฟที่สถานีบางกอกน้อยและต้องผ่านบริเวณตลิ่งชัน จะใช้กองเรือกลเข้าล้อมและถวายอารักขา อย่างไรก็ตาม เกิดการเกรงว่าหากมีการปะทะจะยุ่ง จึงวางแผนกันใหม่กำหนดเวลาที่แน่นอนคือ ช่วงที่รัชกาลที่ </span>7 <span lang="TH">จะแปรพระราชฐานไปพระราชวังไกลกังวล ในวันที่ </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2475 <span style="font-weight: bold;" lang="TH">โดยนัดหมายเวลากันตอนย่ำรุ่งตามศัพท์เรียกโบราณ</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style=""> </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />เมื่อถึงเวลาเช้ามืดตามนัดจึงไปกันที่พระที่นั่งอนันตสมาคม เช้านั้นนอกจากทหารผู้ก่อการแล้ว มีทหารอื่นที่ไม่ทราบเรื่องประมาณหนึ่งกองพันใช้ลานพระรูปฝึกทหาร แต่เมื่อไปถึง พ.อ.พระยาพหลฯ กล่าวคำเดียวว่า </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-weight: bold;">“พร้อมตายกับทุกคน”</span><span lang="TH"><span style="font-weight: bold;"> </span>จากนั้นจึงสั่งจัดแถวทหารใหม่แบบให้ทุกหน่วยปนกันหมด เพื่อไม่ให้ใครสั่งการได้</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />ส่วนทหารอื่นหนึ่งกองพันก็ได้ถามผู้คุมว่าจะเอาด้วยหรือไม่ เขาก็เอาด้วย พ.อ.พระยาพหลฯ จึงไปอ่านแถลงการณ์คณะราษฎร ฉบับที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >1 <span lang="TH">ข้างบรมรูปทรงม้า หลังอ่านจบจึงเดินไปยัง<span style="font-weight: bold;">พระที่นั่งอนันตสมาคม</span> ใช้ </span>2<span lang="TH">มือ ถือคีมตัดโซ่ที่คล้องประตูออก แล้วใช้พระที่อนันตสมาคมเป็นที่บัญชาการ หลังจากนั้นจึงเชิญ<span style="font-weight: bold;">สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต </span>พระบรมวงศานุวงศ์ชั้นผู้ใหญ่คนสำคัญ รวมทั้งพระบรมวงศานุวงศ์คนอื่นๆ มาควบคุมไว้ จึงไม่มีการเสียเลือดเนื้อ </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />หลังก่อการจึงได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปเชิญรัชกาลที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >7 <span lang="TH">กลับ พระองค์ทรงตกลงแล้วเสด็จกลับโดยทางรถไฟ เมื่อมาถึงทาง<span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">คณะราษฎร</span>ก็เข้าไปในลักษณะเชิงขอขมาลาโทษ นายปรีดีเล่าให้ฟังว่า ตอนนั้นท่านรับสั่งกับ<span style="font-weight: bold;">พระยาศรีวิศาลวาจา</span> ว่า </span><span style="font-weight: bold;">“ฉันบอกแกแล้วใช่หรือไม่ ให้มีการปกครองแบบใหม่ขึ้น” </span><span lang="TH">ซึ่งคณะราษฎรก็ไม่ทราบมาก่อนว่าจะทรงพระราชทานรัฐธรรมนูญ แต่อย่างไรก็ตาม รัฐธรรมนูญที่พระราชทานโดยพระเจ้าแผ่นดินหลายอย่างนั้นจะสงวนไว้สำหรับพระมหากษัตริย์อยู่ดี <span style="color: rgb(255, 0, 0);">ปัจจุบันจึงถูกพูดว่าเป็นคุณหลวงห่ามๆ รีบทำกันเพราะในหลวงท่านพร้อมพระราชทานอยู่แล้ว</span> แล้วมีความพยายามลบความทรงจำตรงนี้ออกไป<o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />ต่อมา<span style="font-weight: bold;">พระองค์เจ้าบวรเดช</span> ซึ่งเป็นกลุ่มที่สูญเสียอำนาจไป ได้ยกทัพมาแต่ก็ไม่ได้รับความสำเร็จกลายเป็น<span style="color: rgb(255, 0, 0);">กบฎบวรเดช</span>ไป บริเวณที่พูดอยู่ตอนนี้คือ <span style="font-weight: bold;">ทุ่งบางเขน</span>เป็นจุดที่ยกทัพมาตรึงแนวกันไว้ แล้วก็ล้มตายกันไปที่นี่ คนที่ตายก็ไม่ใช่เจ้านายแต่เป็นทหารที่ถูกเกณฑ์มา ต่อมาจึงมีการสร้าง<span style="font-weight: bold;">วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน</span> หรือ<span style="font-weight: bold;">วัดประชาธิปไตย</span>ขึ้น <span style="font-weight: bold;">เหตุผลหนึ่งของการสร้างวัดนี้ก็คือการขออหสิกรรมใน พ.ศ. </span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-weight: bold;">2476</span> <span lang="TH">อีกประการหนึ่งคืออยากให้สงฆ์ธรรมยุตินิกายและมหานิกายรวมกันได้ <span style="font-weight: bold;">ส่วนพระภิกษุที่บวชรูปแรกของวัดก็คือ พ.อ.พระยาพหลฯ และแพทย์ประจำตัว<br /><br /></span></span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-size:100%;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200706/25_131007_83.jpg" border="0" height="278" width="300" /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;color:red;" lang="TH" >พ.ท.พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา<br /><br /></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;color:red;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >ด้าน พ.ต.พุทธินาถ พหลพลพยุหเสนา กล่าวว่า พ่อไม่ค่อยเล่าเรื่องเหล่านี้ให้ฟังแต่จะรู้จากแม่หรือคนรอบข้างบ้าง ที่รู้คือ <span style="font-weight: bold;">จมื่นสุรฤทธิไกร</span>หรืออาเคยมาชวนพ่อ เมื่อครั้ง ร.ศ. </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >130 <span lang="TH">จากนั้นอาก็ถูกปลดจากทหารเพราะกรณีดังกล่าว พ่อเคยบอกว่า ถ้าไม่มี ร.ศ. </span>130 <span lang="TH">ก็ไม่มี </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2475<span lang="TH"> พวกนี้เป็นรุ่นพี่ที่ทำให้น้องรุ่นหลังเห็นตามด้วย ในวันที่ก่อการนั้น พ่อสั่งเสียกับแม่ก่อนว่าจะไปทำอะไร ถ้าไม่สำเร็จให้อพยพอย่างไร <span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">เพราะถ้าไม่สำเร็จคงถูกประหาร </span></span><span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);" lang="TH">7 ชั่วโคตร</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />พ.ต.พุทธินาถ ยังกล่าวถึงประสบการณ์ของการเป็นทหารว่า เริ่มต้นจากการไปสมัครเป็นนายสิบ และเคยเป็นกำลังใน<span style="color: rgb(255, 0, 0);">กรณีกบฎเมษาฮาวาย</span> ที่ <span style="font-weight: bold;">พ.อ.มนูญ รูปขจร</span> เป็นผู้ก่อการ ขอบอกว่าสิ่งที่ พ.อ.มนูญ ทำกับ กรณี </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >24 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2475 <span lang="TH">ผิดกันมาก</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><br />“<span lang="TH">ตอนพ่อทำ พ่อไม่มีอะไรในกำมือ มีแต่ความตั้งใจที่จะนำประชาธิปไตยมาให้คนในชาติ ถ้าไม่สำเร็จก็ </span>7 <span lang="TH">ชั่วโคตร ดังนั้นทุกครั้งที่มีรัฐประหารขอบอกว่า เป็นการเปลี่ยนฝูงเหลือบที่จะมาสูบเลือดของชาติ แต่เจตนาบริสุทธิ์มีครั้งเดียวเท่านั้น คือ </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2475” <span lang="TH">พ.ท. พุทธินาถ กล่าว</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />ส่วนในช่วงท้าย ทายาทของ พ.อ.พระยาพหลฯ ได้พูดสรุปอีกครั้งว่า ระบอบประชาธิปไตยไม่ใช่การนำมาแต่ต้องได้รับการศึกษาด้วย สิ่งที่พ่อและนายปรีดีได้ทำก็คือการตั้งมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมืองซึ่งเวลานี้สูญหายไปจากประเทศไทยแล้ว ชื่อที่มีอยู่นั้นไม่ใช่ เพราะเขาไม่ได้สอนให้คนไทยรู้จักประชาธิปไตยอีกแล้ว</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />เขาเล่าว่า <span style="font-weight: bold;">เคยได้คุยกับนักศึกษาที่บอกว่าตอนเรียนมีอุดมการณ์ต่างๆ มากมาย แต่พอไปเป็นข้าราชการแล้วก็ต้องทิ้งหมด เพราะถ้าถืออุดมการณ์ไว้ก็ไม่สามารถก้าวหน้าในราชการได้</span> อยากบอกว่าอุดมการณ์เป็นสิ่งสูงส่งของวัยรุ่น ถ้าไม่ใช้หรือใช้ไม่ได้ก็ควรเก็บใส่กระเป๋าไว้ แต่อย่าขว้างอุดมการณ์ทิ้ง เมื่อมีโอกาสก็เอามาดู ควักมันออกจากกระเป๋ามาดูว่าตรงไหนใช้ได้ ถ้าทุกคนที่จบมหาวิทยาลัยเก็บไว้ในกระเป๋า แล้วนำมาใช้เมื่อมีเวลาตามภาระหน้าที่ ประเทศไทยก็ไปข้างหน้าไม่รู้ถึงไหนแล้ว แต่ตอนนี้เล่นขว้างทิ้งกันตั้งแต่วัยรุ่นก็มีส่วนทำให้บ้านเมืองแย่ อุดมคติเป็นสิ่งบริสุทธิ์ เป็นความคิดบริสุทธิ์ที่วัยรุ่นมี อย่าทิ้ง เมื่อถึงวัยอันสมควรอาจจะได้ใช้ และป่านนี้ชาติคงไปไกลกว่านี้</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />พ.ต.พุทธินาถ กล่าวต่อว่า ปัจจุบันนี้ไม่ได้รบกับชาติอื่นด้วยอาวุธแต่รบด้วยปัญญาและศีลธรรมจึงจะสู้กับชาติอื่นได้ ระบอบประชาธิปไตยก็เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้คนมีปัญญานำไปใช้ให้แผ่นดินนี้อยู่รอดได้<br /><br /><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p><span style=";font-family:Tahoma;" ><o:p><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200706/25_130748_40.jpg" border="0" height="321" width="300" /></o:p></span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;color:red;" lang="TH" >นายชุมพล พรหมยงค์<br /><br /></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;color:red;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >ด้าน<span style="font-weight: bold;">นายชุมพล พรหมยงค์ </span>ทายาทของนายแช่ม พรหมยงค์ <span style="color: rgb(255, 0, 0);">คณะราษฎรสายมุสลิม</span> กล่าวว่า <span style="font-weight: bold;">ไม่ใช่เรื่องแปลกที่แขกกับเจ๊กจะร่วมก่อการในวันที่ </span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-weight: bold;">24 มิ.ย. 2475</span> <span lang="TH">เพราะทั้งแขกและเจ๊กก็มีส่วนร่วมในกระบวนการปกครองของสยามมานาน </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />สมัยก่อน แขกจะส่งลูกไปเรียนนอกได้ก็ที่เดียวคือ<span style="font-weight: bold;">ประเทศอียิปต์</span> นายบรรจงเป็นลูกคนมีเงิน แต่พอไปเรียนคงก็ไม่มีเงินติดกระเป๋ากลับบ้านก็คงไปอาศัยยืมเงินพรรคพวกคนไทยด้วยกันในปารีส อีกทั้งเป็นลูกเจ้าของร้านปืน เพื่อนๆ กันก็อยากช่วยกัน แล้วก็ไปชวนเพื่อนแขกคนอื่นมารวมทั้งพ่อด้วย จึงจะฝากให้คิดว่า วีรบุรุษกับผู้กล้าหาญนั้นมักจะเป็นเรื่องบังเอิญ</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><br />“<span lang="TH">พ่อผมเป็น </span>10 <span lang="TH">เปอร์เซ็นต์ท้ายที่มารวมตัวกันสมบูรณ์พอดี เพราะมีหัวก็ต้องมีท้าย พอปฏิวัติ </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2475<span lang="TH"> ก็ทำด้วยความรู้สึกที่ต้องการร่วมด้วย มาจากความรู้สึกที่ดีและอยากจะทำงานมากกว่าอย่างอื่น<br />คนในบ้านเมืองเราก็มีคนแบบนี้อยู่มาก เพียงแต่ต้องหาโอกาสให้เขา"<br /><br /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200706/25_131233_21.jpg" border="0" height="274" width="300" /></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;color:red;" lang="TH" >นายสุพจน์ ด่านตระกูล<br /><br /></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;color:red;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >สุดท้าย <span style="font-weight: bold;">นายสุพจน์ ด่านตระกูล</span> นักเขียนและนักประวัติศาสตร์ กล่าวว่า ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >5 <span lang="TH">มาแล้ว อัครราชทูตไทยคนหนึ่งเคยมีหนังสือกราบเรียนให้เปลี่ยนการปกครองเพื่อต่อสู้กับอาณานิคมฝรั่ง ซึ่งรัชกาลที่ </span>5 <span lang="TH">มีหนังสือตอบไปว่าเห็นด้วยในหลักการแต่ต้องสำหรับประเทศอื่น ส่วนสยามควรปกครองกันแบบเดิม คือพระมหากษัตริย์มีอำนาจล้นพ้นไม่จำกัด </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />จากการที่กำลังศึกษาเรื่องประวัติรัฐธรรมนูญพบว่า หลัง </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >24 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2575 <span lang="TH">กลุ่มพลังเก่าพยายามลบล้าง ประวัติศาสตร์ </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2475 <span lang="TH">ออกไป ที่ชัดเจนคือการยกเลิกการให้วันที่ </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. ของทุกปีเป็นวันชาติ ใน พ.ศ. </span>2503 <span lang="TH">ไทยจึงกลายเป็นประเทศเดียวในโลกที่ไม่มีวันชาติ และผู้พยายามยกเลิกก็คือ ตระกูล </span>‘<span lang="TH">ชุณหะวัณ</span>’ <span lang="TH">หลังการทำรัฐประหาร พ.ศ. </span>2490 <span lang="TH">ทั้งนี้ รัฐธรรมนูญหลังจากนั้นมา ก็พยายามยกเลิกรัฐธรรมนูญฉบับ </span>27 <span lang="TH">มิ.ย. </span>2475 <span lang="TH">ทั้งที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ถือว่าเป็นการทำสัญญาประชาคม หลังการยื่นคำขาดต่อในหลวง</span><br /><br /><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >รัชกาลที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >7 <span lang="TH">กลับมาในวันที่ </span>25 <span lang="TH">มิ.ย. หลังรับคำขาดวันที่ </span>24 <span lang="TH">มิ.ย. และถึงกรุงเทพฯ วันที่ </span>26 <span lang="TH">มิ.ย.โดยได้สาส์น </span>2 <span lang="TH">ฉบับ คือ การขอออกกฎหมายนิรโทษกรรมคณะราษฎรกับรัฐธรรมนูญ ในส่วนที่ขอนิรโทษกรรมนั้นทรงอนุญาต แต่ส่วนรัฐธรรมนูญนั้นทรงขอพิจารณาหนึ่งคืนโดยไม่ลงพระนามในวันนั้น จากนั้นจึงเติมคำว่า </span>‘<span lang="TH">ชั่วคราว</span>’ <span lang="TH">ลงไป </span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />นายสุพจน์ กล่าวว่า รัฐธรรมนูญนี้ <span style="color: rgb(255, 0, 0);">มาตราที่</span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="color: rgb(255, 0, 0);"> 1 บอกว่า ‘อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย’</span> <span lang="TH">และตอกย้ำด้วย<span style="color: rgb(255, 0, 0);">มาตรา </span></span><span style="color: rgb(255, 0, 0);">7 </span><span lang="TH"><span style="color: rgb(255, 0, 0);">ว่า การกระทำใดๆ ของกษัตริย์ต้องมีกรรมการราษฎรผู้หนึ่งผู้ใดลงนามด้วย โดยได้รับความยินยอมของกรรมการราษฎรจึ่งจะใช้ได้ มิฉะนั้นเป็นโมฆะ</span><o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><br />เหล่านี้ล้วนมีเพื่อตอกย้ำอำนาจที่เป็นโครงสร้างใหญ่ ถือว่าเป็นสัญญาประชาคมที่ รัชกาลที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >7 <span lang="TH">ทรงลงนามในฐานะกษัตริย์ <span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">ดังนั้นใครที่กระทำรัฐประหารต่อมาจึงไม่มีสิทธิออกนิรโทษกรรมทั้งสิ้น</span></span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p> <table class="MsoTableGrid" style="border: medium none ; border-collapse: collapse;" border="1" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody> <tr style=""> <td style="border: 1pt solid windowtext; padding: 0cm 5.4pt; width: 426.1pt;color:transparent;" valign="top" width="568"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-size:100%;"><b><span style=";font-family:Tahoma;" lang="TH">ประกาศคณะราษฎร ฉบับที่ ๑</span></b><b><span style=";font-family:Tahoma;" ><o:p></o:p></span></b></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >ราษฎรทั้งหลาย<br /><br /></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >เมื่อกษัตริย์องค์นี้ได้ครองราชสมบัติสืบต่อพระเชษฐานั้น ในชั้นต้นราษฎรได้หวังกันว่ากษัตริย์องค์ใหม่นี้จะปกครองราษฎรให้ร่มเย็น แต่การณ์หาเป็นไปตามหวังที่คิดไม่ กษัตริย์คงทรงอำนาจอยู่เหนือกฎหมายตามเดิม ทรงแต่งตั้งญาติวงศ์และคนสอพลอไร้คุณงามความรู้ให้ดำรงตำแหน่งที่สำคัญๆ ไม่ทรงฟังเสียงราษฎร ปล่อยให้ข้าราชการใช้อำนาจหน้าที่ในทางทุจริต มีการรับสินบนในการก่อสร้างซื้อของใช้ในราชการ หากำไรในการเปลี่ยนราคาเงิน ผลาญเงินทองของประเทศ ยกพวกเจ้าขึ้นให้สิทธิพิเศษมากกว่าราษฎร ปกครองโดยขาดหลักวิชา ปล่อยให้บ้านเมืองเป็นไปตามยถากรรม ดังที่จะเห็นได้ในการตกต่ำในการเศรษฐกิจและความฝืดเคืองทำมาหากิน ซึ่งราษฎรได้รู้กันอยู่ทั่วไปแล้ว รัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิสามารถแก้ไขให้ฟื้นขึ้นได้ การที่แก้ไขไม่ได้ก็เพราะรัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมายมิได้ปกครองประเทศเพื่อราษฎรตามที่รัฐบาลอื่นๆ ได้กระทำกัน รัฐบาลของกษัตริย์ได้ถือเอาราษฎรเป็นทาส (ซึ่งเรียกว่าไพร่บ้าง ข้าบ้าง) เป็นสัตว์เดียรัจฉาน ไม่นึกว่าเป็นมนุษย์ เพราะฉะนั้น แทนที่จะช่วยราษฎร กลับพากันทำนาบนหลังราษฎร จะเห็นได้ว่าภาษีอากรที่บีบคั้นเอาจากราษฎรนั้น กษัตริย์ได้หักเอาไว้ใช้ส่วนตัวปีหนึ่งเป็นจำนวนหลายล้าน ส่วนราษฎรสิ กว่าจะหาได้แต่เล็กน้อย เลือดตาแทบกระเด็น ถึงคราวเสียภาษีราชการหรือภาษีส่วนตัว ถ้าไม่มีเงินรัฐบาลก็ใช้ยึดทรัพย์หรือใช้งานโยธา แต่พวกเจ้ากลับนอนกินกันเป็นสุข ไม่มีประเทศใดในโลกจะให้เงินเจ้ามากเช่นนี้ นอกจากพระเจ้าซาร์และพระเจ้าไกเซอร์เยอรมัน ซึ่งชนชาตินั้นได้โค่นราชบัลลังก์เสียแล้ว</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><span style=""> </span><br />รัฐบาลของกษัตริย์ได้ปกครองอย่างหลอกลวงไม่ซื่อตรงต่อราษฎร มีเป็นต้นว่าจะบำรุงการทำมาหากินอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ครั้นคอยๆ ก็เหลวไป หาได้ทำจริงจังไม่ มิหนำซ้ำกล่าวหมิ่นประมาทราษฎรผู้มีบุญคุณเสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้กิน ว่าราษฎรรู้เท่าไม่ถึงเจ้านั้นไม่ใช่เพราะโง่ เป็นเพราะขาดการศึกษาที่พวกเจ้าปกปิดไว้ไม่ให้เรียนเต็มที่ เพราะเกรงว่าราษฎรได้มีการศึกษาก็จะรู้ความชั่วร้ายที่ทำไว้และคงจะไม่ยอมให้ทำนาบนหลังคน</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><span style=""> </span><br />ราษฎรทั้งหลายพึงรู้เถิดว่าประเทศเรานี้เป็นของราษฎร ไม่ใช่ของกษัตริย์ตามที่เขาหลอกลวง บรรพบุรุษของราษฎรเป็นผู้กู้ให้ประเทศเป็นอิสรภาพพ้นมือจากข้าศึก พวกเจ้ามีแต่ชุบมือเปิบและกวาดทรัพย์สมบัติเข้าไว้ตั้งหลายร้อยล้าน เงินเหล่านี้เอามาจากไหน</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >? <span lang="TH">ก็เอามาจากราษฎรเพราะวิธีทำนาบนหลังคนนั่นเอง ! บ้านเมืองกำลังอัตคัตฝืดเคือง ชาวนาและพ่อแม่ทหารต้องทิ้งนา เพราะทำไม่ได้ผล รัฐบาลไม่บำรุง รัฐบาลไล่คนงานออกอย่างเกลื่อนกลาด นักเรียนที่เรียนสำเร็จแล้วและทหารที่ปลดกองหนุนไม่มีงานทำ จะต้องอดอยากไปตามยถากรรม เหล่านี้เป็นผลของรัฐบาลของกษัตริย์เหนือกฎหมาย บีบคั้นข้าราชการชั้นผู้น้อย นายสิบ และเสมียน เมื่อให้ออกจากงานแล้วไม่ให้เบี้ยบำนาญ ความจริงควรเอาเงินที่กวาดรวบรวมไว้มาจัดบ้านเมืองให้มีงานทำจึงจะสมควรที่สนองคุณราษฎรซึ่งได้เสียภาษีอากรให้พวกเจ้าได้ร่ำรวยมานาน แต่พวกเจ้าก็หาได้ทำอย่างใดไม่ คงสูบเลือดกันเรื่อยไป เงินมีเท่าไหรก็เอาฝากต่างประเทศคอยเตรียมหนีเมื่อบ้านเมืองทรุดโทรม ปล่อยให้ราษฎรอดอยาก การเหล่านี้ย่อมชั่วร้าย</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><span style=""> </span><br />เหตุฉะนั้น ราษฎร ข้าราชการ ทหาร และพลเรือน ที่รู้เท่าถึงการกระทำอันชั่วร้ายของรัฐบาลดังกล่าวแล้ว จึงรวมกำลังตั้งเป็นคณะราษฎรขึ้น และได้ยึดอำนาจของรัฐบาลของกษัตริย์ไว้แล้ว คณะราษฎรเห็นว่าการที่จะแก้ความชั่วร้ายก็โดยที่จะต้องจัดการปกครองโดยมีสภา จะได้ช่วยกันปรึกษาหารือหลายๆ ความคิดดีกว่าความคิดเดียว ส่วนผู้เป็นประมุขของประเทศนั้น คณะราษฎรไม่มีประสงค์ทำการชิงราชสมบัติ ฉะนั้น จึงขอเชิญให้กษัตริย์องค์นี้ดำรงตำแหน่งกษัตริย์ต่อไป แต่จะต้องอยู่ใต้กฎหมายธรรมนูญการปกครองของแผ่นดิน จะทำอะไรโดยลำพังไม่ได้ นอกจากความเห็นชอบของสภาผู้แทนราษฎร คณะราษฎรได้แจ้งความเห็นนี้ให้กษัตริย์ทราบแล้ว เวลานี้ยังอยู่ในความรับตอบ ถ้ากษัตริย์ตอบปฏิเสธหรือไม่ตอบภายในกำหนดโดยเห็นแก่ส่วนตนว่าจะถูกลดอำนาจลงมาก็จะชื่อว่าทรยศต่อชาติ และก็เป็นการจำเป็นที่ประเทศจะต้องมีการปกครองอย่างประชาธิปไตย กล่าวคือ ประมุขของประเทศจะเป็นบุคคลสามัญซึ่งสภาผู้แทนราษฎรได้ตั้งขึ้น อยู่ในตำแหน่งตามกำหนดเวลา ตามวิธีนี้ราษฎรพึงหวังเถิดว่าราษฎรจะได้รับความบำรุงอย่างดีที่สุด ทุกๆ คนจะมีงานทำ เพราะประเทศของเราเป็นประเทศที่อุดมอยู่แล้วตามสภาพ เมื่อเราได้ยึดเงินที่พวกเจ้ารวบรวมไว้จากการทำนาบนหลังคนตั้งหลายร้อยล้านมาบำรุงประเทศขึ้นแล้ว ประเทศจะต้องเฟื่องฟูขึ้นเป็นแม่นมั่น การปกครองซึ่งคณะราษฎรจะพึงกระทำก็คือ จำต้องวางโครงการอาศัยหลักวิชา ไม่ทำไปเหมือนคนตาบอด เช่นรัฐบาลที่มีกษัตริย์เหนือกฏหมายทำมาแล้ว เป็นหลักใหญ่ๆ ที่คณะราษฎรวางไว้ มีอยู่ว่า</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style=""> </span><span lang="TH"><br />๑.จะต้องรักษาความเป็นเอกราชทั้งหลาย เช่นเอกราชในทางการเมือง การศาล ในทางเศรษฐกิจ ฯลฯ ของประเทศไว้ให้มั่นคง</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style=""> </span><span lang="TH">๒.จะต้องรักษาความปลอดภัยภายในประเทศ ให้การประทุษร้ายต่อกันลดน้อยลงให้มาก<o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><span style=""> </span>๓.ต้องบำรุงความสุขสมบูรณ์ของราษฎรในทางเศรษฐกิจ โดยรัฐบาลใหม่จะจัดหางานให้ราษฎรทุกคนทำ จะวางโครงการเศรษฐกิจแห่งชาติ ไม่ปล่อยให้ราษฎร อดอยาก</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style=""> </span><span lang="TH">๔.จะต้องให้ราษฎรมีสิทธิเสมอภาคกัน (ไม่ใช่พวกเจ้ามีสิทธิยิ่งกว่าราษฎร เช่นที่เป็นอยู่)</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style=""> </span><span lang="TH">๕.จะต้องให้ราษฎรได้มีเสรีภาพ มีความเป็นอิสระ เมื่อเสรีภาพนี้ไม่ขัดต่อหลัก ๕ ประการดังกล่าวข้างต้น</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style=""> </span><span lang="TH">๖.จะต้องให้การศึกษาอย่างเต็มที่แก่ราษฎร</span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><span style=""> </span><br />ราษฎรทั้งหลายจงพร้อมกันช่วยคณะราษฎรให้ทำกิจอันคงจะอยู่ชั่วดินฟ้านี้ให้สำเร็จ คณะราษฎรขอให้ทุกคนที่มิได้ร่วมมือเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาลกษัตริย์เหนือกฎหมายพึงตั้งอยู่ในความสงบและตั้งหน้าหากิน อย่าทำการใดๆ อันเป็นการขัดขวางต่อคณะราษฎรนี้ เท่ากับราษฎรช่วยประเทศและช่วยตัวราษฎร บุตร หลาน เหลน ของตนเอง ประเทศจะมีความเป็นเอกราชอย่างพร้อมบริบูรณ์ ราษฎรจะได้รับความปลอดภัย ทุกคนจะต้องมีงานทำไม่ต้องอดตาย ทุกคนจะมีสิทธิเสมอกัน และมีเสรีภาพจากการเป็นไพร่ เป็นข้า เป็นทาสพวกเจ้า หมดสมัยที่เจ้าจะทำนาบนหลังราษฎร สิ่งที่ทุกคนพึงปรารถนาคือ ความสุขความเจริญอย่างประเสริฐซึ่งเรียกเป็นศัพท์ว่า </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >“<span lang="TH">ศรีอาริย์</span>” <span lang="TH">นั้น ก็จะพึงบังเกิดขึ้นแก่ราษฎรถ้วนหน้า<br /><br /></span><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >คณะราษฎร<o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >๒๔ มิถุนายน ๒๔๗๕</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p></td></tr></tbody></table></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >ข้อมูลประกอบ</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><a set="yes" linkindex="4" href="http://th.wikipedia.org/wiki/%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A2%E0%B8%8A%E0%B8%B7%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%A1%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%84%E0%B8%93%E0%B8%B0%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%A9%E0%B8%8E%E0%B8%A3">รายชื่อสมาชิกคณะราษฎร<o:p></o:p></a></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><o:p> </o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><o:p>......................................</o:p></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size:100%;"><span style=";font-family:Tahoma;" lang="TH"><o:p>แก้ไขคำผิดบางส่วน โดย <span style="font-weight: bold; color: rgb(255, 0, 0);">2 4 7 5 Article</span><br /></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style="font-size:100%;"><span style=";font-family:Tahoma;" lang="TH"><o:p>พฤหัส 21<br /></o:p></span></span></p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:10;" lang="TH" ><o:p><span style="font-size:100%;">กุมภา 51</span><br /></o:p></span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:10;" lang="TH" ></span>historyMcmuhttp://www.blogger.com/profile/10528487425341058007noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1536154279973326788.post-49335556495730928082008-02-14T15:18:00.000-08:002008-02-17T06:25:18.022-08:0002 ชาตรี ประกิตนนทการ : ความทรงจำ และ อำนาจ บนถนนราชดำเนิน<a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpniSaS2Qxd-HSCLdqnEdw-oIUXHcsKJvpSCgYRr0q6y6tKsBgKdnJWJmQiVx9Gm9xlc0SYsqqccDqRvTsmoYt6Vg-A_S3QZf6AlQTa-K96aMag3S0izpXoDAgtluOQsUAyfEoD9vSxN1R/s1600-h/%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99.jpg"><img style="cursor: pointer;" src="https://blogger.googleusercontent.com/img/b/R29vZ2xl/AVvXsEgpniSaS2Qxd-HSCLdqnEdw-oIUXHcsKJvpSCgYRr0q6y6tKsBgKdnJWJmQiVx9Gm9xlc0SYsqqccDqRvTsmoYt6Vg-A_S3QZf6AlQTa-K96aMag3S0izpXoDAgtluOQsUAyfEoD9vSxN1R/s400/%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5167954941432853922" border="0" /></a><br /><a onblur="try {parent.deselectBloggerImageGracefully();} catch(e) {}" href="http://2.bp.blogspot.com/_nRfeB-L5BPY/R7RCV2NUdSI/AAAAAAAAAM8/ayK3gqpQb3k/s1600-h/%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99.jpg"><img style="cursor: pointer;" src="http://2.bp.blogspot.com/_nRfeB-L5BPY/R7RCV2NUdSI/AAAAAAAAAM8/ayK3gqpQb3k/s400/%E0%B8%96%E0%B8%99%E0%B8%99%E0%B8%A3%E0%B8%B2%E0%B8%8A%E0%B8%94%E0%B8%B3%E0%B9%80%E0%B8%99%E0%B8%B4%E0%B8%99.jpg" alt="" id="BLOGGER_PHOTO_ID_5166827615596868898" border="0" /></a><br /><span style="font-size:85%;">ถนนราชดำเนินในอดีต ราวทศวรรษที่ ๒๔๙๐<br />(ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)<br /></span><br /><b>ความทรงจำ และ อำนาจ บนถนนราชดำเนิน</b><br /><br />ชาตรี ประกิตนนทการ<br />คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร<br /><br /><a set="yes" linkindex="30" href="http://www.muangboranjournal.com/modules.php?name=Sections&op=viewarticle&artid=179" target="_blank">http://www.muangboranjournal.com/modules.p...ticle&artid=179</a><br /><br />ความทรงจำทางประวัติศาสตร์เป็นสิ่งสำคัญต่อผู้คนและสังคม<br /><br />ความทรงจำมิใช่เป็นเพียงแค่การจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในอดีตเฉยๆ เท่านั้น หากแต่เป็นการจดจำอดีตที่มีพลังในการอธิบายเชื่อมโยงมาสู่การกระทำทั้งในปัจจุบันและ<br />อนาคต<br /><br />ความทรงจำทางประวัติศาสตร์ คือการเลือกจดจำอดีตบางอย่างเอาไว้ โดยละเลยอดีตอื่นๆ ที่เราคิดว่าไม่สำคัญหรือไม่อยากจำ การเลือกจำหรือไม่จำอะไรย่อมขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม ความทรงจำที่มีลักษณะเป็นปฏิปักษ์กับโครงสร้างอำนาจในปัจจุบันพึงถูกเก็บซ่อนหรือคัด<br />ทิ้ง ขณะที่ความทรงจำซึ่งหนุนเสริมโครงสร้างอำนาจในปัจจุบันย่อมถูกเลือกมาจดจำ ผลิตซ้ำ และเผยแพร่ให้กลายเป็นความทรงจำร่วมของสังคม<br /><br />ใครเป็นวีรบุรุษที่เราควรยกย่อง ใครคือผู้ร้ายที่ต้องสาปแช่งประณาม เหตุการณ์ใดมีค่าควรแก่การจดจำ เหตุการณ์ไหนควรปล่อยทิ้งและลืมเลือน เหล่านี้ล้วนถูกกำหนดจากโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจในแต่ละยุคสมัย ซึ่งไม่มีความแน่นอน จริงแท้ และถาวร เป็นแต่เพียงจินตนาการร่วมกันของสังคม ณ ยุคสมัยหนึ่ง เป็นเพียงการเรียงร้อยอดีตที่ขาดช่วง ไม่ต่อเนื่อง และกระจัดกระจาย ให้สามารถรวมกันอยู่ภายใต้ความทรงจำที่มีเอกภาพชุดหนึ่ง เพื่อทำหน้าที่ตอกย้ำความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคม ณ ช่วงเวลานั้นๆ<br /><br />อย่างไรก็ตาม ความทรงจำที่ถูกคัดทิ้งในยุคสมัยหนึ่งอาจถูกเลือกมาจดจำและผลิตซ้ำในอีกสมัยหนึ่งก็ไ<br />ด้ ในขณะที่ความทรงจำที่เคยถูกจดจำมากในสมัยหนึ่งก็อาจถูกกดทับและลืมเลือนได้เช่นกัน และเมื่อใดก็ตามที่ความสัมพันธ์เชิงอำนาจเปลี่ยนแปลงไป ความทรงจำที่เคยถูกกดทับก็พร้อมจะก้าวขึ้นมาประกอบสร้างเป็นความทรงจำร่วมของสังคมแท<br />นที่ได้เสมอ<br /><br />อาจกล่าวได้ว่า อำนาจเป็นผู้ผลิตสร้างความทรงจำ และในทางกลับกัน ความทรงจำก็ทำหน้าที่เกื้อหนุนอำนาจให้เข้มแข็งมากยิ่งขึ้น<br /><br />เมื่อความทรงจำและอำนาจเป็นเสมือนสองด้านของเหรียญเดียวกันเช่นนี้ พื้นที่แห่งความทรงจำจึงเป็นสนามประลองที่ต้องมีการแย่งชิงต่อสู้กันอยู่ตลอดเวลา ใครที่ยึดกุมความทรงจำร่วมของสังคมได้ย่อมเป็นผู้มีอำนาจ และผู้มีอำนาจย่อมสถาปนาความทรงจำที่ตนเองได้ประโยชน์ ให้กลายเป็นความทรงจำร่วมของสังคม<br /><br />การต่อสู้แย่งชิงความทรงจำทางประวัติศาสตร์ปรากฏให้เห็นอย่างชัดเจนใน “ตำราประวัติศาสตร์” อย่างไรก็ตาม ตำราประวัติศาสตร์ก็เป็นเพียงพื้นที่หนึ่งที่มีการต่อสู้แย่งชิงความทรงจำเท่านั้น ซึ่งในความเป็นจริง ในทุกปริมณฑลของสังคม ในทุกๆ สิ่งที่ถูกประดิษฐ์สร้างขึ้นโดยมนุษย์ ล้วนแล้วแต่เป็นที่บรรจุความทรงจำและเป็นสมรภูมิแย่งชิงความทรงจำทั้งสิ้น<br /><br />ดังนั้น ในบทความนี้จึงพยายามที่จะศึกษาประเด็นการแย่งชิงความทรงจำทางประวัติศาสตร์ และการนิยามความสัมพันธ์เชิงอำนาจทางสังคมในปริมณฑลอื่นที่นอกเหนือจากตำราประวัติศา<br />สตร์ โดยผู้เขียนสนใจที่จะศึกษาความสัมพันธ์เชิงอำนาจผ่านการต่อสู้แย่งชิงความทรงจำบนพื้<br />นที่ถนนราชดำเนิน<br /><br />สาเหตุที่สนใจถนนราชดำเนิน เป็นเพราะว่าถนนราชดำเนินเป็นถนนประวัติศาสตร์ที่มีความเป็นมายาวนานและมีสถานะพิเศษ<br />มากกว่าถนนเส้นอื่นๆ ในสังคมไทย<br /><br />ตลอดระยะเวลาร้อยกว่าปีที่ผ่านมา ถนนราชดำเนินได้เข้าไปมีส่วนร่วมเป็นฉากทางประวัติศาสตร์สังคมและการเมืองไทยหลายต่อ<br />หลายครั้ง จนอาจกล่าวได้ว่า ทุกตารางนิ้วบนถนนราชดำเนินและพื้นที่ต่อเนื่องใกล้เคียงล้วนเต็มไปด้วยความทรงจำทาง<br />ประวัติศาสตร์ ซึ่งความทรงจำที่เกิดขึ้นมิได้มีความเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันแต่อย่างใด แต่กลับเต็มไปด้วยความหลากหลายที่ขัดแย้งและไม่ลงรอยกัน แต่ละความทรงจำต่างแย่งชิงการนำ และพยายามเบียดขับความทรงจำอื่นให้พ้นออกไปอยู่ตลอดเวลา<br /><br />หากมองเปรียบเทียบระหว่างถนนราชดำเนินกับตำราประวัติศาสตร์ ในฐานะที่เป็นวัตถุที่บรรจุความทรงจำร่วมของสังคมเอาไว้ จะพบความแตกต่างในระเบียบวิธีการศึกษา คือ การศึกษาความทรงจำในตำราประวัติศาสตร์จะกระทำผ่านการวิเคราะห์ “โครงเรื่อง” ที่สื่อสารด้วยภาษาและตัวอักษร ในขณะที่การศึกษาความทรงจำบนพื้นที่สาธารณะ เช่น ถนนราชดำเนิน จะต้องกระทำผ่านการวิเคราะห์องค์ประกอบทางกายภาพของพื้นที่ที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละย<br />ุคสมัย ไม่ว่าจะเป็น ตึก อาคาร ถนน ต้นไม้ อนุสาวรีย์ ป้ายโฆษณา ฯลฯ โดยองค์ประกอบเหล่านี้เป็นเสมือนภาษาในอีกแบบหนึ่ง ที่จะขอเรียกว่าเป็น “ภาษาสถาปัตยกรรม”<br /><br />ภาษาสถาปัตยกรรมเหล่านี้มีไวยากรณ์เฉพาะที่สัมพันธ์กับบริบทในแต่ละยุคสมัย การทำความเข้าใจจะต้องอาศัยการศึกษาและทำความใจในไวยากรณ์ของภาษาดังกล่าวภายใต้บริบ<br />ทของยุคสมัย ถึงจะสามารถถอดความหมายที่แฝงอยู่ในองค์ประกอบเหล่านั้นออกมาได้<br /><br />ซึ่งจากการศึกษาพบว่า การแย่งชิง ความทรงจำ และอำนาจ บนถนนราชดำเนินตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา จะวนเวียนอยู่แวดล้อมประเด็นปัญหาว่าด้วยโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจระหว่างกลุ่<br />มอำนาจหลักๆ ในสังคมไทยสามกลุ่ม คือ “สถาบันกษัตริย์” “รัฐ” และ “กลุ่มคนชั้นกลางใหม่” ที่ขยายตัวเพิ่มขึ้นหลังปี พ.ศ. ๒๕๐๐ เป็นต้นมา<br /><br />การต่อสู้แย่งชิงความทรงจำและอำนาจดังกล่าวทิ้งร่องรอยให้ปรากฏเห็นได้อย่างชัดเจนจา<br />กองค์ประกอบต่างๆ ที่ถูกสร้างขึ้นในพื้นที่ถนนราชดำเนิน<br /><br />รายละเอียดทั้งหมดจะอภิปรายและชี้ให้เห็นในหัวข้อต่อๆ ไป1<br /><br /><br /><b>จากราชดำเนิน สู่ราษฎรเดินนำ2 : จุดเริ่มการแย่งชิงความทรงจำและอำนาจ </b><br /><br />ถนนราชดำเนินประกอบด้วยถนนสามสาย คือราชดำเนินนอก ราชดำเนินกลาง และราชดำเนินใน ถนนราชดำเนินนอกถูกตัดขึ้นเป็นสายแรก โดยเป็นถนนถมดินปูอิฐ เริ่มตัดในเดือนสิงหาคมปี พ.ศ. ๒๔๔๒ เพื่อใช้เป็นทางเสด็จพระราชดำเนินสู่วังสวนดุสิต3 ใช้เวลาตัดสองปี<br /><br />หลังจากนั้นในปี พ.ศ. ๒๔๔๔ รัชกาลที่ ๕ โปรดเกล้าฯ ให้ตัดถนนราชดำเนินกลางต่อในทันที ส่วนถนนราชดำเนินในคงเริ่มสร้างในระยะเวลาไล่เลี่ยกัน<br /><br />ถนนสามสายถูกเรียกรวมว่า “ถนนราชดำเนิน” ตลอดแนวถนนพาดผ่านคลองสำคัญสามสาย คือคลองคูเมืองเดิม คลองรอบกรุง และคลองผดุงกรุงเกษม รัชกาลที่ ๕ จึงโปรดเกล้าฯ ให้กระทรวงโยธาธิการก่อสร้างสะพานสมัยใหม่ด้วยรูปแบบศิลปะตะวันตกขึ้นเพื่อเชื่อมร้อ<br />ยถนนราชดำเนินทั้งสามให้ต่อเนื่องเป็นสายเดียวกัน คือสะพานผ่านพิภพลีลา ผ่านฟ้าลีลาศ และมัฆวานรังสรรค์<br /><br />ถนนราชดำเนินคือสัญลักษณ์ที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ “สยามเก่า” คือ พระบรมมหาราชวังและวัดพระศรีรัตนศาสดาราม กับพื้นที่ “สยามใหม่” คือ พระราชวังดุสิตและวัดเบญจมบพิตรดุสิตวนาราม ซึ่งเป็นการสะท้อนความเปลี่ยนแปลงอุดคติทางการเมืองแบบจักรพรรดิราชมาสู่สมบูรณาญาสิ<br />ทธิราชย์ องค์ประกอบที่แวดล้อมถนนราชดำเนิน ไม่ว่าจะเป็นสะพาน พระราชวัง วัง และตำหนัก ที่สร้างขึ้นด้วยรูปแบบสถาปัตยกรรมตะวันตก คือภาพสะท้อนของพระราชอำนาจสมัยใหม่ และศูนย์กลางจักวาลสมัยใหม่ในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์4<br /><br />นอกจากนี้ ถนนราชดำเนินยังทำหน้าที่เป็น “ฉากแห่งความศิวิไลซ์” ของสยามที่แสดงต่อนานาอารยประเทศ และเป็นรูปธรรมของสัญลักษณ์ในการนำพาประเทศสยามก้าวเข้าสู่ความเจริญก้าวหน้าแบบสมัย<br />ใหม่อย่างชาญฉลาดและทันท่วงที จนสยามรอดพ้นจากการตกเป็นอาณานิคมไปได้ ซึ่งทั้งหมดเกิดขึ้นภายใต้ร่มพระบารมีของรัชกาลที่ ๕ กษัตริย์แห่งราชวงศ์จักรี โดยมีสัญลักษณ์แห่งความทรงจำที่สำคัญที่สุดคืออนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้าและพระที่นั<br />่งอนันตสมาคม ที่ปลายสุดของถนนราชดำเนินนอก<br /><br />แต่นัยเชิงสัญลักษณ์นี้จะเริ่มถูกแย่งชิงความหมายไป ภายหลังเหตุการณ์ปฏิวัติเปลี่ยนแปลงการปกครองในปี พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยคณะราษฎร<br /><br />คณะราษฎรพยายามสร้างความทรงจำใหม่ว่าด้วยเส้นแบ่งทางประวัติศาสตร์ระหว่าง “สยามเก่า” กับ “สยามใหม่” ขึ้น โดยในช่วงก่อนปี พ.ศ. ๒๔๗๕ คือยุค “สยามเก่า” ที่ล้าหลัง ในขณะที่ช่วงหลังปี พ.ศ. ๒๔๗๕ เป็นต้นมา สยามได้ก้าวเข้าสู่ “สยามใหม่” ที่ทันสมัย5 ความทรงจำว่าด้วยรัชกาลที่ ๕ นำความศิวิไลซ์มาสู่บ้านเมือง ถูกแทนที่ด้วยความทรงจำว่าด้วยระบอบประชาธิปไตยคือความเจริญก้าวหน้าที่แท้จริงของบ้<br />านเมือง เส้นแบ่งทางประวัติศาสตร์ดังกล่าวถูกสร้างขึ้นอย่างเป็นรูปธรรมในหลายๆ ด้าน ไม่ว่าจะเป็นงานศิลปะ6 สถาปัตยกรรม ภาษา วรรณกรรม การแต่งกาย เป็นต้น ซึ่งล้วนแล้วแต่มีรูปแบบที่ตัดขาดจากยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์เกือบจะสิ้นเชิง<br /><br />ถนนราชดำเนินกลางคือพื้นที่สำคัญที่ถูกสร้างให้เป็นสัญลักษณ์ของความทรงจำใหม่นี้ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๐ รัฐบาลคณะราษฎรเริ่มทำการปรับเปลี่ยนภูมิทัศน์ถนนราชดำเนินกลางใหม่ทั้งหมด เริ่มจากการตัดต้นมะฮอกกานีที่ปลูกตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๕ ลง ทำการขยายถนน สร้างอาคารพาณิชย์ โรงแรม ศูนย์การค้า และที่สำคัญที่สุดคืออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย7 ซึ่งถูกสร้างขึ้นกลางถนนราชดำเนินกลาง เพื่อเป็นที่ระลึกในเหตุการณ์เปลี่ยนแปลงการปกครองมาสู่ระบอบประชาธิปไตย ในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ โดยสัดส่วนความกว้าง ความสูง ตลอดจนรายละเอียดของการออกแบบอนุสาวรีย์ล้วนถอดออกมาจากตัวเลขที่สัมพันธ์กับวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ ทั้งสิ้น8<br /><br />อาคารสองฟากฝั่งถนนราชดำเนินกลางถูกออกแบบด้วย “สถาปัตยกรรมแบบทันสมัย” (ซึ่งได้รับอิทธิพลมาจากรูปแบบสถาปัตยกรรม Modern Architecture ในยุโรป) ที่มีรูปแบบทางสถาปัตยกรรมที่แตกต่างจากสถาปัตยกรรมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์อย่างส<br />ิ้นเชิง รูปแบบสถาปัตยกรรมมีความเรียบง่ายในรูปแบบและองค์ประกอบ ตัดทิ้งซึ่งลวดลายตกแต่งทางสถาปัตยกรรม ตัดขาดจากฐานานุศักดิ์ในงานสถาปัตยกรรม สื่อถึงนัยแห่งความเสมอภาคในระบอบประชาธิปไตย9 ที่ราษฎรเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มิใช่กษัตริย์อีกต่อไป<br /><br />ราชดำเนินในยุคนี้ โดยเฉพาะราชดำเนินกลาง ได้ถูกแทนที่ความทรงจำแบบเดิมในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (ซึ่งมีสัญลักษณ์คือสถาปัตยกรรมรูปแบบตะวันตกในแบบต่างๆ และอนุสาวรีย์พระบรมรูปทรงม้า) ด้วยความทรงจำใหม่ของคณะราษฎร (ซึ่งมีสัญลักษณ์คือสถาปัตยกรรมแบบทันสมัยและอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย)<br /><br />โครงการที่เกิดขึ้นบนถนนราชดำเนินในยุคนี้สะท้อนให้เห็นถึงความสัมพันธ์เชิงอำนาจเฉพ<br />าะระหว่าง “สถาบันกษัตริย์” กับ “รัฐ” (คณะราษฎร) ที่เพิ่งทำการเปลี่ยนแปลงการปกครองมา เป็นเพียงการแย่งชิงและต่อรองอำนาจกันระหว่างชนชั้นนำ โดยมิได้กระจายไปสู่ประชาชนในวงกว้างแต่อย่างใด ความสัมพันธ์ของกลุ่มอำนาจสองกลุ่มนี้ดำเนินไปในแบบโครงสร้างอำนาจในระบอบประชาธิปไต<br />ยที่กษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญอย่างแท้จริง<br /><br />“สถาบันกษัตริย์” ดำรงสถานะเป็นเพียงสัญลักษณ์ มิได้มีอำนาจใดๆ แม้แต่สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ที่มีหน้าที่ดูแลรับผิดชอบพื้นที่สองฟากฝ<br />ั่งถนนราชดำเนินกลาง ก็มีสถานะเป็นหน่วยงานราชการ ภายใต้กำกับดูแลของรัฐโดยเด็ดขาด ผ่านกระทรวงการคลัง10<br /><br />“สถาบันกษัตริย์” ไม่มีพื้นที่ในการแสดงสัญลักษณ์ความเป็นตัวแทนของตนเองออกสู่สาธารณะได้ พระราชพิธีต่างๆ ถูกยกเลิกไปโดยมาก เช่น พิธีโล้ชิงช้า พิธีแรกนาขวัญ พิธีถือน้ำพระพิพัฒน์สัตยา เป็นต้น ซึ่งส่วนหนึ่งคงเนื่องมาจากในช่วงเวลานี้ กษัตริย์ประทับอยู่นอกประเทศเป็นส่วนใหญ่ แต่อีกส่วนหนึ่งก็คงปฏิเสธได้ยากถึงโครงสร้างอำนาจทางสังคมในยุคนี้ ที่ไม่เปิดที่ทางมากนักแก่ “สถาบันกษัตริย์” ในขณะที่ “รัฐ” มีความเข้มแข็งมาก สามารถกำหนดนโยบายต่างๆ ได้อย่างอิสระ และควบคุมพื้นที่สาธารณะและควบคุมความทรงจำบนพื้นที่สาธารณะได้อย่างเบ็ดเสร็จ ดังจะเห็นได้จากตัวแบบบนถนนราชดำเนินที่ได้ยกมา11<br /><br />อย่างไรก็ตาม ความสัมพันธ์เชิงอำนาจในลักษณะนี้ก็คงอยู่เพียงไม่นานคือ เพียงราว ๑๕ ปีเท่านั้น หลังจากเหตุการณ์สวรรคตอันลึกลับของรัชกาลที่ ๘ ในปี พ.ศ. ๒๔๘๙ และการรัฐประหารในปี พ.ศ. ๒๔๙๐ คณะราษฎรถูกเบียดขับตกไปจากเวทีแห่งอำนาจ พร้อมๆ กับการรื้อฟื้นกลับมาของพลังอนุรักษ์นิยมที่ต้องการรื้อฟื้นพระราชอำนาจของสถาบันกษั<br />ตริย์ให้เพิ่มสูงขึ้น<br /><br />ทั้งหมดได้ส่งผลต่อโครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจในรูปแบบใหม่ และกระทบต่อการสร้างความทรงจำใหม่ๆ บนถนนราชดำเนินด้วย<br /><br /><br /><b>ถนนราชดำเนินกับการแย่งชิงความทรงจำว่าด้วยกำเนิดประชาธิปไตย </b><br /><br />เป็นที่ทราบโดยทั่วไปว่า หลังปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา พลังอนุรักษ์นิยมที่แสดงออกในแนวทางการเมืองแบบ “กลุ่มนิยมเจ้า” (Royalist) ได้เริ่มเข้ามามีบทบาททางสังคมและการเมืองมากขึ้น ในขณะเดียวกับที่อุดมการณ์ของคณะราษฎรได้แตกสลายลงไป<br /><br />หลังสงครามโลกครั้งที่ ๒ เจ้านายทั้งหลายได้รับบรรดาศักดิ์คืน และได้รับอนุญาตให้มีบทบาททางการเมืองได้ ในแง่รัฐธรรมนูญ รัฐธรรมนูญฉบับปี พ.ศ. ๒๔๙๐ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในฉบับ พ.ศ. ๒๔๙๒ โดยสาระสำคัญ ได้มีการถวายพระราชอำนาจแด่กษัตริย์มากขึ้น กษัตริย์มีพระราชอำนาจในทางการเมือง เช่น การแต่งตั้ง ถอดถอนนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี การเลือก การแต่งตั้งวุฒิสภา เป็นต้น12 แม้ว่าจอมพล ป. พิบูลสงครามจะยังสามารถกลับมาดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้อีกครั้งก็ตาม แต่คราวนี้ จอมพล ป. ก็ต้องสลัดทิ้งอุดมการณ์คณะราษฎรออกไปจนเกือบสิ้น และต้องประนีประนอมกับกลุ่มนิยมเจ้าเป็นอย่างมาก<br /><br />ภายใต้บรรยากาศแบบนิยมเจ้า ความทรงจำของเหตุการณ์ปฏิวัติ ๒๔๗๕ เริ่มถูกรื้อสร้างความหมายใหม่ โดยกลุ่มปัญญาชนนิยมเจ้าหลายคนที่ก้าวเข้ามามีบทบาทมากขึ้นในยุคหลัง ๒๔๙๐ ที่สำคัญได้แก่ ม.ร.ว. เสนีย์ และ ม.ร.ว. คึกฤทธิ์ ปราโมช<br /><br />ม.ร.ว. เสนีย์ เริ่มนิยามกำเนิดประชาธิปไตยใหม่ อธิบายว่าประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญมาแล้วตั้งแต่สมัยสุโขทัย มิใช่เพิ่งมาเริ่มมีในปี ๒๔๗๕ โดยให้ความเห็นว่าศิลาจารึกหลักที่ ๑ ของพ่อขุนรามคำแหงคือรัฐธรรมนูญฉบับแรกของไทย13 ซึ่งเท่ากับแสดงว่าระบอบประชาธิปไตยมีมาช้านานแล้วตั้งแต่ยุคสุโขทัย<br /><br />นอกจากนี้ ม.ร.ว. เสนีย์ ยังเป็นบุคคลแรกๆ ที่เริ่มสร้างความทรงจำว่าด้วยรัชกาลที่ ๗ เป็นกษัตริย์นักประชาธิปไตย เป็นผู้ที่ริเริ่มจะให้สยามได้ก้าวสู่ระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง และกำลังจะพระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ปวงชนชาวไทยอยู่แล้ว แสดงให้เห็นว่ากษัตริย์ไทยเป็นประชาธิปไตยมาก่อนที่จะมีการเปลี่ยนแปลงการปกครองโดยค<br />ณะราษฎรด้วยซ้ำ14 อันจะกลายเป็นจุดเริ่มต้นของความทรงจำว่าด้วย “การชิงสุกก่อนห่าม” ของคณะราษฎรในเวลาต่อมา<br /><br />การแย่งชิงความทรงจำว่าด้วยกำเนิดรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยดังกล่าว ในมิติของความพยายามสร้างความทรงจำบนถนนราชดำเนินได้เริ่มปรากฏให้เห็นอย่างเป็นรูปธ<br />รรมครั้งแรกในปี พ.ศ. ๒๔๙๔ คณะรัฐมนตรีในขณะนั้นได้ประชุมและมีมติให้จัดสร้างอนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๗ ขึ้น โดยให้ทำการรื้อป้อมกลางของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยลง และนำอนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๗ ที่มีขนาดใหญ่สามเท่าตัวคนไปตั้งแทน โดยคณะกรรมการมีความเห็นว่า พานรัฐธรรมนูญเป็นเพียงสิ่งของเท่านั้น ทำไมจึงไม่นำพระบรมรูปไปตั้งแทน เพราะเหมาะสมกว่าในแง่ที่เป็นการระลึกถึงการเปลี่ยนแปลงการปกครอง15<br /><br />เห็นได้ชัดถึงความพยายามในการลบความทรงจำว่าด้วยกำเนิดประชาธิปไตยโดยคณะราษฎรลง และแทนที่ด้วยความทรงจำว่าด้วยกำเนิดประชาธิปไตยโดยการพระราชทานของรัชกาลที่ ๗ ลงไปบนพื้นที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย อย่างไรก็ตาม จอมพล ป. พิบูลสงคราม นายกรัฐมนตรี ซึ่งแม้จะประนีประนอมกับฝ่ายนิยมเจ้ามากเพียงใด ก็ยังไม่ยอมให้โครงการดังกล่าวเกิดขึ้นได้ โดยอ้างว่าไม่มีงบประมาณ จากนั้นเรื่องก็เงียบหายไป<br /><br />ความสำเร็จในแง่วัตถุสัญลักษณ์ของความทรงจำบนถนนราชดำเนินว่าด้วย ประชาธิปไตยอันเกิดจากการพระราชทานนั้นจะมาเกิดขึ้นจริงภายหลัง แต่มิได้เกิดขึ้นบนพื้นที่ถนนราชดำเนินโดยตรง ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ มีการสร้างอาคารรัฐสภาบนถนนอู่ทองใน ปลายสุดของถนนราชดำเนินนอก ทางด้านเหนือของพระที่นั่งอนันตสมาคม ซึ่งต่อมาในปี พ.ศ. ๒๕๒๓ ได้มีการตั้งอนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๗ ขึ้นไว้หน้าอาคารรัฐสภา แสดงถึงนัยของการสร้างความทรงจำว่าด้วยกษัตริย์ประชาธิปไตยได้อย่างชัดเจนยิ่ง<br /><br /><br /><b>การสร้างความทรงจำของสถาบันกษัตริย์บนถนนราชดำเนินและพื้นที่ต่อเนื่อง </b><br /><br />นอกจากอนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๗ แล้ว บนพื้นที่หน้าอาคารกระทรวงยุติธรรมที่สร้างขึ้นโดยคณะราษฎรในปี พ.ศ. ๒๔๘๒ เพื่อเป็นอาคารที่ระลึกในการที่ประเทศไทยได้รับเอกราชสมบูรณ์ (เอกราชทางการศาล) ก็มีการจัดสร้างอนุสาวรีย์กรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์ขึ้นใน พ.ศ. ๒๕๐๗ ภายใต้ความทรงจำ “พระบิดาแห่งกฎหมายไทย” ซึ่งเป็นหนึ่งในอนุสาวรีย์แห่งความทรงจำชุด “พระบิดา” ในสาขาวิชาต่างๆ อันเป็นอนุสาวรีย์ชุดใหญ่ที่ถูกสร้างขึ้นนับตั้งแต่หลังปี พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา16 นับเป็นปรากฏการณ์หนึ่งในหลายๆ ประการของกระแส “นิยมเจ้า” ที่เพิ่มสูงขึ้นในยุคนั้น อนุสาวรีย์ชุดดังกล่าวได้สร้างอำนาจและพลังในการอธิบายที่สำคัญยิ่งต่อสังคมไทยในปัจ<br />จุบัน เป็นพลังแห่งความทรงจำใหม่ที่อธิบายความเจริญก้าวหน้าในศาสตร์ทุกสาขาวิชาชีพภายใต้ร<br />่มพระอัจฉริยภาพของเจ้านายเชื้อพระวงศ์<br /><br />ในพื้นที่สองฟากฝั่งถนนราชดำเนินนอก ยุคหลัง พ.ศ. ๒๔๙๐ ได้เกิดการสร้างอาคารที่ทำการกระทรวง ตลอดจนสถานที่ราชการอื่นๆ อีกหลายหลังขึ้น อาทิ กระทรวงคมนาคม กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ พ.ศ. ๒๔๙๙ กระทรวงวัฒนธรรม พ.ศ. ๒๔๙๗ (สนามเสือป่า) ศาลาสันติธรรม พ.ศ. ๒๔๙๖ (เชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ - ปัจจุบันรื้อลงแล้ว) องค์การอุตสาหกรรมป่าไม้ เป็นต้น<br /><br />กลุ่มอาคารเหล่านี้ ถูกสร้างขึ้นด้วยรูปแบบ “สถาปัตยกรรมไทยประยุกต์” ภายใต้นโยบายชาตินิยมทางวัฒนธรรมของจอมพล ป. พิบูลสงครามในยุคหลังปี พ.ศ. ๒๔๙๐ ซึ่งกระแสความคิดได้หวนทวนย้อนกลับมาสู่แนวทางที่เป็นอนุรักษ์นิยมมากขึ้น สอดคล้องเป็นอย่างดีกับแนวคิดของ “กลุ่มนิยมเจ้า” ที่สร้างความทรงจำว่าด้วย “ความเป็นไทย” ที่ต้องยึดโยงสัมพันธ์กับความเป็นไทยแบบจารีตโบราณอย่างแนบแน่น มิใช่ความเป็นไทยใหม่แบบที่ยุคคณะราษฎรเคยกระทำไว้ให้แก่สถาปัตยกรรมสองฟากฝั่งถนนรา<br />ชดำเนินกลางในทศวรรษที่ ๒๔๘๐<br /><br />ความเปลี่ยนแปลงทางกายภาพทั้งหมดบนถนนราชดำเนินในทศวรรษที่ ๒๔๙๐ นี้ เป็นภาพสะท้อนของการรื้อฟื้นพระราชอำนาจของ “สถาบันกษัตริย์” ในสังคมไทย ที่แสดงออกผ่านโครงการต่างๆ ที่เกิดขึ้นบนถนนราชดำเนิน ความทรงจำเกี่ยวกับคณะราษฎรบนถนนราชดำเนินแทบจะเลือนหายไปหมดสิ้น<br /><br />“รัฐ” ในช่วงเวลานี้ จำเป็นต้องประนีประนอมกับพระราชอำนาจมากขึ้น ขณะที่ “สถาบันกษัตริย์” เริ่มปรากฏที่ทางในการแสดงพระองค์สู่สาธารณะมากขึ้น และสร้างความทรงจำลงบนที่สาธารณะเพิ่มมากขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการเกิดขึ้นของอนุสาวรีย์ชุด “พระบิดา” ต่างๆ การสร้างความทรงจำว่าด้วยการพระราชทานรัฐธรรมนูญและระบอบประชาธิปไตยโดยรัชกาลที่ ๗ ผ่านการสร้างอนุสาวรีย์ของพระองค์หน้าอาคารรัฐสภา หรือแม้แต่การเกิดขึ้นของรูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์ที่อิงอาศัยรูปแบบสถาปัตยกรรม<br />ไทยแบบจารีต ซึ่งเป็นนัยของรูปแบบศิลปะสถาปัตยกรรมที่แวดล้อม “สถาบันกษัตริย์” หรือชนชั้นสูงมาแต่เดิม<br /><br />รูปธรรมที่สำคัญอีกประการซึ่งแสดงให้เห็นถึงพระราชอำนาจของ “สถาบันกษัตริย์” ที่เพิ่มขึ้น คือการถือกำเนิดของ “โครงการพระราชดำริ” ที่เริ่มขึ้นในปี พ.ศ. ๒๔๙๔17 ในขณะที่อำนาจของ “รัฐ” กลับมีทิศทางที่สวนกัน คืออำนาจเริ่มจะลดน้อยลง<br /><br />กรณีตัวอย่างบนถนนราชดำเนินที่สะท้อนโครงสร้างความสัมพันธ์นี้ได้ดีคือ การออกพระราชบัญญัติจัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ใน พ.ศ. ๒๔๙๑ ที่ทำให้สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์กลายสถานะเป็นองค์กรอิสระอยู่นอกเหนือร<br />ัฐ การดูแลบริหารจัดการเกิดขึ้นจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งโดยตรงจากกษัตริย์ ซึ่งผลจากพระราชบัญญัตินี้ได้ทำให้พื้นที่สองฟากฝั่งถนนราชดำเนินในหลายๆ ส่วนกลายมาอยู่ภายใต้องค์กรในพระราชอำนาจโดยตรง18<br /><br />หลังจากจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ ทำการรัฐประหารรัฐบาลจอมพล ป. พิบูลสงครามในปี พ.ศ. ๒๕๐๐ และขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี พ.ศ. ๒๕๐๒ จนข้ามมาถึงยุคจอมพลถนอม กิตติขจรเป็นนายกรัฐมนตรีต่อมาจนถึงปี พ.ศ. ๒๕๑๖ ในช่วงระยะเวลาราว ๑๕ ปีนี้ ถือได้ว่าอำนาจ “รัฐ” ได้ตกมาอยู่ในกลุ่มทหาร รัฐไทยมีลักษณะเผด็จการที่ขาดความชอบธรรม แต่ได้อาศัยอ้างอิงความชอบธรรมด้วยการแสดงบทบาทสนับสนุนการรื้อฟื้นพระราชอำนาจของ “สถาบันกษัตริย์” ให้เพิ่มสูงขึ้น19 สถาบันกษัตริย์ได้เริ่มกลายมาเป็นแกนกลางแห่งความเป็นชาติไทย เริ่มกลายเป็นสถาบันหลักที่สำคัญที่สุดแห่งความเป็นชาติ<br /><br />ในยุคนี้ พื้นที่สาธารณะต่างๆ จะถูกจัดแสดงเรื่องราวต่างๆ ที่แวดล้อมและเกี่ยวข้องกับสถาบันกษัตริย์มากขึ้น อำนาจ “รัฐ” แม้ว่าจะเข้มแข็ง แต่ต้องอิงอาศัยกับพระราชอำนาจเป็นสำคัญ มีการรื้อฟื้นพระราชพิธีต่างๆ ที่ถูกยกเลิกไปในปี ๒๔๗๕ ให้กลับมามีบทบาทและที่ทางในสังคมอีกครั้ง20<br /><br />นอกจากรื้อฟื้นพระราชพิธีเก่าแล้ว ยังมีการสร้างพระราชพิธีใหม่ด้วย ที่สำคัญในช่วงเวลานี้คือพระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ รอบ ในปี พ.ศ. ๒๕๐๖ ซึ่งเป็นพระราชพิธีพิเศษเฉพาะในรัชกาลปัจจุบัน มีการสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติและประดับประดาไฟตามถนนหนทาง โดยเฉพาะถนนราชดำเนิน ที่สำคัญคือมีการรื้อฟื้นการเสด็จเลียบพระนครโดยกระบวนพยุหยาตราทางสถลมารค ซึ่งที่ผ่านมาจะกระทำเฉพาะในพระราชพิธีบรมราชาภิเษกเท่านั้น แต่เนื่องจากในรัชกาลปัจจุบันมิได้ทรงกระทำเมื่อคราวบรมราชาภิเษก รัฐบาลจึงจัดให้มีขึ้น ซึ่งถือว่าเป็น “ประเพณีประดิษฐ์ใหม่” เฉพาะในรัชกาล<br /><br />กระบวนเสด็จในการเสด็จเลียบพระนครยาตราออกจากพระบรมมหาราชวังไปตามถนนหน้าพระลาน เข้าถนนราชดำเนิน ถนนพระสุเมรุ ไปยังวัดบวรนิเวศ ประกอบพิธีในพระอุโบสถ เสร็จแล้วเสด็จพระราชดำเนินกลับยังพระบรมมหาราชวัง21<br /><br />พระราชพิธีดังกล่าวเป็นสัญลักษณ์สำคัญอีกครั้งในการสร้างความทรงจำร่วมทางสังคมที่ “สถาบันกษัตริย์” ได้เริ่มก้าวเข้ามาเป็นศูนย์กลางจิตใจของคนไทยทั้งชาติอย่างจริงจัง โดยมีฉากที่สำคัญคือถนนราชดำเนิน<br /><br /><br /><b>การแบ่งส่วนความทรงจำของคนชั้นกลางบนถนนราชดำเนิน </b><br /><br />ผลกระทบที่สำคัญอีกด้านของสมัยเผด็จการจอมพลสฤษดิ์ที่สืบเนื่องมายังสมัยจอมพลถนอมคื<br />อ สังคมไทยได้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างมากมายในทางเศรษฐกิจ เกิดสภาพัฒนาเศรษฐกิจฯ เกิดแผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติ เกิดการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานในประเทศมากมาย เกิดมหาวิทยาลัยในภูมิภาคขึ้นหลายแห่ง เกิดการพัฒนาเศรษฐกิจแบบทุนนิยมภายใต้การกำกับของรัฐ ฯลฯ<br /><br />ปัจจัยเหล่านี้ก่อให้เกิด “กลุ่มคนชั้นกลางใหม่” ในปริมาณที่สูงขึ้น22 คนชั้นกลางใหม่เหล่านี้เริ่มไม่พอใจต่อรัฐบาลเผด็จการทหารที่รวบอำนาจเอาไว้แต่เพียง<br />กลุ่มเดียว กลุ่มคนชั้นกลางใหม่เหล่านี้ โดยเฉพาะนิสิต นักศึกษา ปัญญาชน ต้องการเข้าไปมีส่วนร่วมในโครงสร้างอำนาจมากขึ้น ต้องการการปกครองที่มีความเป็นประชาธิปไตย ต้องการรัฐธรรมนูญ<br /><br />ความไม่พอใจต่อระบบเผด็จการทหารได้ขยายตัวจนนำไปสู่การรวมพลังกันเป็นมหาชนขนาดใหญ่ใ<br />นเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ ซึ่งอาจถือว่าเป็นปฏิวัติของคนชั้นกลางใหม่ เพื่อขับไล่เผด็จการทหารที่ครองอำนาจมาอย่างยาวนาน<br /><br />ผลกระทบสืบเนื่องจากเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ คือการก้าวเข้ามามีส่วนแบ่งในโครงสร้างอำนาจของกลุ่มชนชั้นกลางใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ และจากการที่ถนนราชดำเนินได้กลายเป็นเวทีในการแสดงพลังที่ชัดเจนและเป็นรูปธรรมครั้ง<br />สำคัญของกลุ่มคนชั้นกลางใหม่เหล่านี้ ได้ทำให้ถนนราชดำเนินถูกใช้เป็นสัญลักษณ์ของการต่อสู้ ต่อรอง และเรียกร้องความต้องการต่างๆ ของกลุ่มคนชั้นกลางใหม่ ในความหมายของการเป็น “ถนนประชาธิปไตย”<br /><br />นอกจากนั้น ภาพมหาชนที่คราคร่ำเต็มถนนราชดำเนินและรายล้อมอยู่โดยรอบอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยได้ทำ<br />ให้ อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยที่ก่อนหน้านี้มีความเป็นประชาธิปไตยแต่เพียงชื่อ ได้กลายความหมายมาเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตยอย่างแท้จริง23<br /><br />ด้วยเหตุนี้ ถนนราชดำเนินหลัง ๑๔ ตุลาฯ จึงมิได้บรรจุเพียงความทรงจำที่สะท้อนอำนาจเฉพาะของ “สถาบันกษัตริย์” และ “รัฐ” เพียงเท่านั้น แต่ได้เพิ่มความทรงจำว่าด้วยการต่อสู้เพื่อให้ได้มาซึ่งประชาธิปไตยของประชาชน (คนชั้นกลาง) เอาไว้ด้วย การผลักดันของพลังนักศึกษาปัญญาชนให้ทำการก่อสร้าง “อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา” ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗24 คือสิ่งที่ยืนยันถึงอำนาจของคนชั้นกลางที่อยากจะขอร่วมแบ่งพื้นที่แห่งความทรงจำบนถน<br />นราชดำเนินแห่งนี้<br /><br />แต่ภายหลังจากเหตุการณ์โศกนาฏกรรมที่ทารุณโหดร้ายอย่างยิ่งกลางท้องสนามหลวงและในมหา<br />วิทยาลัยธรรมศาสตร์ เมื่อวันที่ ๖ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๙ ก็ได้ทำให้เกิดรอยแยกทางความทรงจำที่ยังไม่อาจหาจุดบรรจบได้ระหว่างสถาบันกษัตริย์ รัฐ และนักศึกษาปัญญาชน (ซึ่งเป็นส่วนประกอบหนึ่งของคนชั้นกลางในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ) จนส่งผลทำให้โครงการอนุสรณ์สถานฯ ถูกระงับไป25<br /><br />โครงการก่อสร้าง “อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา” จะได้รับการรื้อฟื้นขึ้นใหม่อย่างจริงจังอีกครั้ง หลังเหตุการณ์ “พฤษภาทมิฬ” ในปี พ.ศ.๒๕๓๕ ซึ่งเป็นอีกครั้งหนึ่งที่คนชั้นกลางได้แสดงพลังเพื่อต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยกลาง<br />ถนนราชดำเนิน หลังจากเหตุการณ์ดังกล่าว กระแสเรียกร้องเพื่อที่จะให้มีการบรรจุความทรงจำของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา และพฤษภาทมิฬลงไปบนถนนราชดำเนินก็เพิ่มมากขึ้นโดยลำดับ ในที่สุด “อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา” ก็ทำก่อสร้างแล้วเสร็จ บนพื้นที่หัวมุมของสี่แยกคอกวัว ริมถนนราชดำเนินกลาง ได้มีการทำพิธีเปิดอย่างเป็นทางการในวันที่ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๔๔26<br /><br />อย่างไรก็ตาม หากพิจารณาในแง่การออกแบบสถาปัตยกรรมแล้ว คงต้องกล่าวว่า อนุสรณ์สถานแห่งนี้ออกแบบโดยยังไม่สามารถที่จะบรรจุความทรงจำที่แสดงออกถึงพลังของมห<br />าชนที่ร่วมต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยได้ดีเพียงพอ ส่วนที่เป็นจุดเน้นสำคัญที่สุดของอนุสรณ์สถานคือสถูปวีรชน ซึ่งแสดงถึงนัยของการระลึกถึงต่อผู้เสียชีวิตในรูปแบบของสถูปเจดีย์ แน่นอนว่าเป็นการให้เกียรติต่อวีรชนที่เสียชีวิตไป แต่ข้อด้อยที่ปรากฏให้เห็นได้อย่างชัดเจนของการเลือกใช้สัญลักษณ์สถูปเจดีย์คือ การหายไปของพลังมวลชนอันยิ่งใหญ่หลายแสนคนที่มารวมตัวกันบนถนนราชดำเนิน ด้วยเป้าหมายในการต่อต้านอำนาจเผด็จการทหาร เพื่อเรียกร้องรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย เพราะสถูปเจดีย์เป็นสัญลักษณ์ที่อิงอยู่กับคติทางพุทธศาสนา ทำให้เมื่อเรามองดูสถูปเจดีย์จึงมักเกิดความรู้สึกไปในทางสงบนิ่งและปล่อยว่าง มากกว่าที่จะรู้สึกถึงพลังอันเร่าร้อนและรุนแรงของมหาชนที่ลุกฮือขึ้นต่อสู้กับเผด็จ<br />การ<br /><br />แม้ว่าคนชั้นกลางจะสามารถพลักดันให้เกิดกระแสสังคมในการบรรจุความทรงจำของตนเองลงบนถ<br />นนราชดำเนินได้ และสามารถสร้างอำนาจต่อรองทางการเมืองของกลุ่มชนชั้นกลางได้มากขึ้นนับตั้งแต่นั้นมา<br />แต่อนุสรณ์สถานแห่งนี้ก็ได้ละเลยในการบรรจุความทรงจำที่สำคัญที่สุดลงไปคือ พลังอันยิ่งใหญ่ของมหาชนและจิตสำนึกประชาธิปไตยที่เร่าร้อนของคนรุ่นหนุ่มสาวบนถนนรา<br />ชดำเนินในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖<br /><br />สาเหตุประการหนึ่ง (ที่สำคัญที่สุดในทัศนะผู้เขียน) ซึ่งทำให้ความทรงจำที่สำคัญนี้หายไปจาก “อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา” คือ ชัยชนะของมวลชนในเหตุการณ์ดังกล่าว ส่วนหนึ่งได้รับการอธิบายภายใต้ความทรงจำอีกชุดหนึ่ง ที่ดูเสมือนว่ากำลังแย่งชิงความทรงจำหลักของเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ไปแล้วคือความทรงจำเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ในการยุติการนองเลือดในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา<br /><br /><br /><b>ราชาชาตินิยมประชาธิปไตย: ชัยชนะของสถาบันกษัตริย์บนถนนราชดำเนิน </b><br /><br />สิ่งที่น่าสังเกตมากที่สุดต่อกระบวนการต่อสู้เรียกร้องประชาธิปไตยของคนชั้นกลางใหม่<br />ในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ คือในการต่อสู้กับเผด็จการทหารที่ยึดครองอำนาจรัฐ กลุ่มคนชั้นกลางใหม่เหล่านี้กลับเลือกใช้สัญลักษณ์ของ “สถาบันกษัตริย์” มาเป็นเครื่องมือสำคัญในการต่อสู้กับอำนาจรัฐ ซึ่งทำให้ไม่เพียงแต่รัฐบาลเผด็จการทหารเท่านั้นที่อาศัยอ้างอิงความชอบธรรมจาก “สถาบันกษัตริย์” แต่ขบวนการนักศึกษาปัญญาชนคนชั้นกลางที่เรียกร้องประชาธิปไตยก็มีบทบาทสำคัญไม่แพ้กั<br />นในการยก “สถาบันกษัตริย์” ให้สูงเด่นมากยิ่งขึ้น<br /><br />การยกพระราชดำรัสเฉพาะบางตอนในกรณีสละราชสมบัติของรัชกาลที่ ๗ ขึ้นมาเพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการต่อต้านเผด็จการทหาร การหวังพึ่งพระบารมีโดยนำพระบรมฉายาลักษณ์มาเป็นสัญลักษณ์ในการต่อสู้ จนมาถึงการที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงมีพระราชดำรัสผ่านทางวิทยุและโทรทัศน์ใน<br />ตอนหัวค่ำของวันที่ ๑๔ ตุลาคม ๒๕๑๖ เพื่อให้ทุกฝ่ายระงับความรุนแรง และทรงแต่งตั้งนายสัญญา ธรรมศักดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี27 เหล่านี้ได้กลายเป็นความทรงจำกระแสหลักอันหนึ่งที่ในบางมุมก็เสมือนว่าสอดคล้องและหน<br />ุนเสริมกับความทรงจำว่าด้วยพลังมวลชนต่อสู้เผด็จการ แต่ในอีกแง่หนึ่ง ความทรงจำนี้ก็กลับแย่งชิงอำนาจนำในการอธิบายเหตุการณ์ ๑๔ ตุลา ให้หลุดออกจากมือของประชาชนไปด้วยในเวลาเดียวกัน<br /><br />การแย่งชิงความทรงจำในลักษณะดังกล่าว ในทัศนะผู้เขียนเห็นว่า เป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้อนุสรณ์สถาน ๑๔ ตุลา ไม่สามารถแสดงความทรงจำของพลังมวลชนออกมาได้อย่างชัดเจน<br /><br />“สถาบันกษัตริย์” ในบริบทสังคมนี้ แม้ในทางทฤษฎีจะเป็นกษัตริย์ที่อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ แต่ด้วยบทบาทในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ ที่ผนวกเข้ากับโครงการพระราชดำริที่เข้าไปแก้ไขปัญหาแบบโดยตรงกับประชาชน ก็ทำให้ “สถาบันกษัตริย์” มีพระราชอำนาจมากกว่าที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญมากนัก<br /><br />ประจักษ์ ก้องกีรติ ได้ตั้งข้อสังเกตที่น่าสนใจว่า คุณูปการที่สำคัญของปัญญาชนคนชั้นกลางในเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาคม พ.ศ. ๒๕๑๖ คือการสร้างวาทกรรมพระราชอำนาจนำให้เกิดขึ้นแก่สถาบันกษัตริย์ โดยเรียกว่าเป็นวาทกรรม “ราชาชาตินิยมประชาธิปไตย” อันเกิดขึ้นจากการผสมระหว่างวาทกรรม “ราชาชาตินิยม” กับวาทกรรม “กษัตริย์ประชาธิปไตย”28<br /><br />วาทกรรมราชาชาตินิยม คือความทรงจำว่าด้วยพระอัจฉริยภาพของรัชกาลที่ ๕ ในการรักษาเอกราชของสยามไว้ได้จากการคุกคามของมหาอำนาจยุโรป พร้อมๆ ไปกับการนำพาประเทศไปสู่ความศิวิไลซ์ทัดเทียมนานาอารยประเทศ29<br /><br />ส่วนวาทกรรมกษัตริย์ประชาธิปไตย ก็คือความทรงจำที่ว่าด้วยประชาธิปไตยมิได้เกิดขึ้นเมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๕ แต่เกิดมาตั้งแต่สมัยสุโขทัยแล้ว และจุดเน้นหลักคือความเป็นนักประชาธิปไตยของรัชกาลที่ ๗ ผู้พระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่คนไทย ดังที่ได้กล่าวไว้แล้วในช่วงก่อนนี้<br /><br />เมื่อพิจารณากระแสความทรงจำแบบ “ราชาชาตินิยมประชาธิปไตย” แล้วมองย้อนกลับมาดูปฏิบัติการในเชิงรูปธรรมที่ปรากฏบนถนนราชดำเนินก็จะเห็นว่า มีความสัมพันธ์เกี่ยวเนื่องกันอย่างชัดเจน<br /><br />ความสุกงอมของความทรงจำว่าด้วยกษัตริย์ประชาธิปไตยหลังเหตุการณ์ ๑๔ ตุลาฯ ได้แสดงออกมาให้เห็นผ่านการปรากฏขึ้นของอนุสาวรีย์รัชกาลที่ ๗ หน้าอาคารรัฐสภาที่สร้างขึ้นใหม่ในปี พ.ศ. ๒๕๑๗ อันเป็นการฝังรากทางความคิดว่าด้วยกำเนิดประชาธิปไตยโดยการพระราชทานของพระองค์ (มิใช่มาจากคณะราษฎร) ได้อย่างมั่นคงยิ่ง จวบจนกระทั่งในปัจจุบัน<br /><br />ในขณะเดียวกัน ความทรงจำว่าด้วยการนำพาประเทศรอดจากการเป็นอาณานิคมและนำความศิวิไลซ์มาให้แก่สยาม ก็ถูกแสดงผ่านสิ่งก่อสร้างต่างๆ บนถนนราชดำเนิน โดยเฉพาะในส่วนถนนราชดำเนินนอก ที่มิได้ถูกลบทำลายไปในสมัยคณะราษฎร ไม่ว่าจะเป็นพระบรมรูปทรงม้า พระราชวัง วัง ตำหนัก พระที่นั่งอนันตสมาคม ฯลฯ สิ่งก่อสร้างเหล่านี้ทำหน้าที่เป็นเครื่องยืนยันที่ตอกย้ำอย่างเป็นรูปธรรมยิ่งของคว<br />ามทรงจำดังกล่าว นอกเหนือไปจากที่ปรากฏเป็นลายลักษณ์อักษรในตำราประวัติศาสตร์<br /><br />เหตุการณ์พฤษภาทมิฬในปี ๒๕๓๕ เป็นเครื่องยืนยันได้ชัดเจนที่สุดอีกครั้งของบทบาทอำนาจของ “สถาบันกษัตริย์” เมื่อพระองค์ได้ทรงเข้ามาทำหน้าที่ขจัดความขัดแย้งระหว่าง “รัฐ” กับ “คนชั้นกลาง” เพียงแค่พระองค์มีพระราชดำรัส ความขัดแย้งต่างๆ ในสังคมก็พร้อมที่จะสงบลงอย่างราบคาบ<br /><br />“สถาบันกษัตริย์” มีสถานะแบบสิ่งศักดิ์สิทธิ์ เป็นดั่งสมมติเทพ ที่ทรงคุณธรรมและจริยธรรม พระองค์จะทรงคอยถ่วงดุลและทัดทานอำนาจที่ฉ้อฉลของนักการเมือง และผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยที่ใสสะอาด มีจริยธรรม โดยพระองค์จะสถิตอยู่เหนือความขัดแย้งและการเมือง<br /><br />“สถาบันกษัตริย์” ได้กลายมาเป็นส่วนที่สำคัญที่สุดในโครงสร้างอำนาจของสังคมไทย เป็นศูนย์รวมจิตใจ และเป็นทุกอย่างของสังคมไทย นโยบายต่างๆ ของภาครัฐ ในยุคนี้ ส่วนมากจะต้องอาศัยอ้างอิงพระบารมีและแนวทางที่พระองค์พระราชทานมาให้เพื่อใช้เป็นแน<br />วทางในการขับเคลื่อน ในหลายๆ กรณี หาก “รัฐ” ขับเคลื่อนนโยบายด้วยตนเองจะไม่สามารถดำเนินการได้ แต่หากน้อมนำพระราชดำริมาเป็นแนวทาง โครงการนั้นจะมีความราบรื่นเสมอ อาจกล่าวได้ว่า อำนาจ “รัฐ” ในสังคมไทยปัจจุบันมิใช่ส่วนสำคัญของโครงสร้างอำนาจในสังคมไทยอีกต่อไป แต่เป็น “สถาบันกษัตริย์” ต่างหากที่สำคัญที่สุดของโครงสร้างอำนาจในสังคมไทย เป็นส่วนยอดสุดของปิรามิดแห่งอำนาจ ลักษณะโครงสร้างอำนาจในแบบนี้อาจจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในสังคมไทยกำลังได้ยินบ่อยมากขึ้<br />นคือ “ประชาธิปไตยแบบไทยๆ”<br /><br />สิ่งนี้ยืนยันได้ชัดเจนจากการที่รัฐบาลเริ่มจัดสรรงบประมาณส่วนหนึ่งเพื่อดำเนินโครง<br />การพระราชดำริเป็นการเฉพาะนับตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๒๕ เป็นต้นมา30 และเพิ่มงบประมาณมากขึ้นทุกปี นโยบายรัฐเริ่มผนวกรวมเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับโครงการพระราชดำริมากขึ้นๆ ซึ่งเป็นการสะท้อนให้เห็นได้ชัดถึงพระราชอำนาจที่สูงยิ่งของ “สถาบันกษัตริย์” ในสังคมไทยปัจจุบัน<br /><br />การปรากฏตัวขึ้นของคณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ในปี พ.ศ. ๒๕๒๑ เพื่อเข้ามาทำหน้าที่ในการดูแลทิศทางการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ เป็นรูปธรรมที่แสดงถึงการให้ความสำคัญต่อการสร้างและตอกย้ำความทรงจำที่มีศูนย์กลางค<br />ือสถาบันกษัตริย์<br /><br />หากพิจารณาแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ จะพบว่ามีเป้าหมายหลักๆ คือ การเปิดมุมมองต่อโบราณสถานสำคัญระดับชาติ (ซึ่งส่วนใหญ่คือ วัด วัง สถานที่ราชการ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ ๑ จนถึงในสมัยรัชกาลที่ ๕) การเปิดพื้นที่สีเขียว (ทำสวนสาธารณะ) และลดความแออัดภายในพื้นที่ลงด้วยการย้ายสถานที่ราชการออก31<br /><br />ภาพสะท้อนของแนวคิดนี้ถูกถ่ายทอดให้เห็นชัดที่สุดในแผนการอนุรักษ์และบูรณะโบราณสถาน<br />ภายในกรุงรัตนโกสินทร์เมื่อคราวฉลองกรุงครบรอบ ๒๐๐ ปีในปี พ.ศ. ๒๕๒๕ ซึ่งประกอบด้วยการอนุรักษ์ปฏิสังขรณ์โบราณสถาน ๙ โครงการ การรื้อฟื้นโบราณสถาน ๒ โครงการ และอีกหลายโครงการย่อย32 ทั้งหมดล้วนแต่เป็นพระราชวัง วัด และโบราณสถานสำคัญที่เป็นมรดกแบบ “วัฒนธรรมชั้นสูง” เกือบทั้งหมด<br /><br />การรื้อโรงภาพยนตร์เฉลิมไทยในปี พ.ศ. ๒๕๓๒ เพื่อเปิดมุมมองต่อโลหะปราสาท วัดราชนัดดาราม และการสร้างลานพลับพลามหาเจษฎาบดินทร์ขึ้นมาแทน เป็นหมุดหมายสำคัญอีกชิ้นที่แสดงให้เห็นพระราชอำนาจและความทรงจำแบบราชาชาตินิยมบนถน<br />นราชดำเนิน ซึ่งกำลังเบียดขับความทรงจำของคณะราษฎร (สัญลักษณ์คือโรงภาพยนตร์เฉลิมไทยที่ถูกรื้อไป) ที่เหลือเพียงน้อยนิดให้ยิ่งตกพ้นเวทีแห่งความทรงจำของสังคมออกไปทุกทีๆ<br /><br />การจัดตั้งพิพิธภัณฑ์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ ในตึกกรมโยธาธิการเดิม บริเวณสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ใน พ.ศ. ๒๕๔๔ เป็นสัญลักษณ์ของการตอกย้ำวาทกรรมกษัตริย์ประชาธิปไตยของรัชกาลที่ ๗ อีกครั้งลงบนพื้นที่ถนนราชดำเนินกลาง<br /><br />สิ่งที่น่าสังเกตที่สุดที่ปรากฏขึ้นอย่างมากและถี่ขึ้นทุกทีบนถนนราชดำเนินคือ การก่อสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติเนื่องในวาระโอกาสต่างๆ<br /><br />ธรรมเนียมการสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติอย่างเป็นกิจลักษณะนั้น อาจกล่าวได้ว่าเริ่มขึ้นมาจากการสร้างซุ้มรับเสด็จในสมัยรัชกาลที่ ๕ เมื่อคราวรับเสด็จกลับจากสิงค์โปร์ปี พ.ศ. ๒๔๓๙ ในครั้งนั้น หน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชนต่างจัดตกแต่งซุ้มรับเสด็จหลายๆ แห่ง โดยเฉพาะตามริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา33 แต่ครั้งที่สำคัญและยิ่งใหญ่มากที่สุดคือ การสร้างซุ้มรับเสด็จรัชกาลที่ ๕ จากการเสด็จเยือนยุโรปครั้งที่ ๒ ในปี พ.ศ. ๒๔๕๐<br /><br />ซุ้มรับเสด็จเฉพาะที่เป็นซุ้มหลักในคราวนั้นมีทั้งหมด ๑๐ ซุ้ม ตั้งวางไว้ตลอดแนวถนนราชดำเนิน โดยแต่ละซุ้มจะรับผิดชอบโดยกระทรวงต่าง เช่น ซุ้มกระทรวงยุติธรรมที่ถนนราชดำเนินกลางถัดจากสี่แยกถนนดินสอ ซุ้มกระทรวงนครบาลเชิงสะพานผ่านฟ้าลีลาศ ซุ้มกระทรวงธรรมการบริเวณสี่แยกถนนจักรพรรดิ ซุ้มกระทรวงเกษตราธิการบริเวณเชิงสะพานมัฆวานรังสรรค์ เป็นต้น34<br /><br />การสร้างซุ้มรับเสด็จในครั้งนั้นได้กลายมาเป็นแรงบันดาลใจสำคัญต่อการสร้างซุ้มเฉลิม<br />พระเกียรติในรัชกาลปัจจุบัน เช่น ในคราวพระราชพิธีกาญจนาภิเษกเมื่อปี พ.ศ. ๒๕๓๙35 และในคราวพระราชพิธีฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปีในปี พ.ศ. ๒๕๔๙<br /><br />ซุ้มเฉลิมพระเกียรติเหล่านี้ปรากฏอยู่ในทุกมุมของถนนราชดำเนิน และยังปรากฏอยู่ทั่วไปในบริเวณเกี่ยวเนื่อง ซุ้มเหล่านี้คือสัญลักษณ์แห่งพระราชอำนาจที่แผ่กระจายครอบคลุมไปทั่วถนนราชดำเนิน ซึ่งเป็นภาพสะท้อนให้เห็นถึงพระราชอำนาจของสถาบันกษัตริย์ที่แผ่ไปทั่วประเทศไทย ณ ปัจจุบันด้วยเช่นกัน<br /><br />ปรากฏการณ์ที่ยืนยันชัดเจนถึงพระราชอำนาจ ในกรณีเฉพาะบนถนนราชดำเนินคือ การเกิดขึ้นของโครงการสาธารณะมากมายโดยรัฐ ณ ปัจจุบัน ที่ต้องอาศัยพึ่งพระบารมีในนามของ “โครงการเฉลิมพระเกียรติ” เพื่อผลักดันให้โครงการสามารถเกิดขึ้นได้ เช่น สวนสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ในพื้นที่ชุมชนป้อมมหากาฬ36 สวนเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา บริเวณพื้นที่กรมประชาสัมพันธ์เดิม37 และโครงการก่อสร้างอาคารศาลฎีกาใหม่ ด้านตะวันตกของท้องสนามหลวง ริมถนนราชดำเนินใน38 เป็นต้น<br /><br /><br /><b>พระราชอำนาจบนถนนราชดำเนิน: สัญลักษณ์และความหมาย </b><br /><br />ดังที่ได้กล่าวมาแล้วว่า พระราชอำนาจของ “สถาบันกษัตริย์” ที่แสดงออกมา จะมีสถานะเช่นสิ่งศักดิ์สิทธิ์ พระองค์ทรงเป็นดั่งสมมติเทพที่ทรงคุณธรรมและจริยธรรม ด้วยสถานภาพดังกล่าวนี้เอง ที่พระองค์จะทรงคอยทำหน้าที่ถ่วงดุลอำนาจที่ฉ้อฉลของนักการเมืองและระบอบการเมืองที่<br />คนส่วนใหญ่มีความเชื่อว่า เต็มไปด้วยความไม่ซื่อสัตย์ คอรัปชั่น และเห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัว พระองค์จะทรงทำหน้าที่ผลักดันให้เกิดประชาธิปไตยแบบใสสะอาด มีจริยธรรม และคุณธรรม โดยพระองค์จะสถิตอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง<br /><br />ภาพลักษณ์ของพระราชอำนาจในลักษณะดังกล่าว ทำให้คนส่วนใหญ่มิได้ทันคิดว่า พระราชอำนาจก็เป็นองค์ประกอบหนึ่งของอำนาจภายใต้โครงสร้างความสัมพันธ์เชิงอำนาจที่ป<br />รากฏอยู่ในสังคมไทย คนส่วนใหญ่เชื่อว่าพระราชอำนาจอยู่นอกเหนือไปจากวงจรอำนาจทั่วไปทางการเมือง ดำรงอยู่ในสถานภาพศักดิ์สิทธิ์ ภายใต้กรอบความคิดที่ยึดโยงอยู่กับภาพลักษณ์ของกษัตริย์ในแบบพระเจ้าจักรพรรดิราชในค<br />ติแบบโบราณ<br /><br />ภาพลักษณ์ของพระราชอำนาจในลักษณ์เช่นนี้ ได้รับการตอกย้ำและผลิตซ้ำให้ปรากฏอย่างชัดเจนในพื้นที่สาธารณะต่างๆ โดยแสดงออกมาในรูปปรำปราคติแบบจารีตของสังคมไทย ตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคือแนวคิดในการก่อสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติในคราวพระราชพิธี<br />กาญจนาภิเษก<br /><br />ในครั้งนั้นคณะผู้จัดสร้างได้กำหนดให้มีการก่อสร้างซุ้มเฉลิมพระเกียรติหลัก ๗ ซุ้ม โดยมีแนวคิดในการออกแบบที่อิงมาจากคติความเชื่อเรื่อง “จักรพรรดิราช” ในคัมภีร์พระพุทธศาสนา จักรพรรดิราชในทางพุทธศาสนานั้นคือพระมหากษัตริย์ที่ทรงคุณธรรม อันประกอบด้วยทศพิธราชธรรมเป็นหลัก39 เมื่อพระมหากษัตริย์พระองค์ใดได้รับการยกย่องให้เป็นพระจักรพรรดิราชก็จะปรากฏ “แก้ว ๗ ประการ” ขึ้นประกอบพระบารมี “แก้ว ๗ ประการ” นั้นประกอบไปด้วย จักรรัตนะ (จักรแก้ว) หัตถีรัตนะ (ช้างแก้ว) อัศวรัตนะ (ม้าแก้ว) มณีรัตนะ (มณีแก้ว) อิตถีรัตนะ (นางแก้ว) คหปติรัตนะ (ขุนคลังแก้ว) และสุดท้ายคือ ปริณายกรัตนะ (ขุนพลแก้ว)40<br /><br />จะเห็นได้ว่า ภาพลักษณ์ของพระราชอำนาจที่ปรากฏในความสัมพันธ์เชิงอำนาจในสังคมไทย ได้ถูกสื่อความใหม่ผ่านคติเก่าได้อย่างลงตัวและแนบเนียนยิ่ง ฉะนั้นจึงไม่เป็นที่สงสัยเลยว่า เหตุใดหากเปรียบเทียบกับซุ้มรับเสด็จรัชกาลที่ ๕ ในคราวเสด็จกลับจากยุโรปครั้งที่ ๒ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๕๐ นั้น ซุ้มเฉลิมพระเกียรติในยุคปัจจุบันจึงดู “ย้อนยุค” มาก และหันกลับไปใช้คติโบราณ ที่แม้แต่รัชกาลที่ ๕ เองก็ยังไม่ได้ทรงใช้อีกต่อไปแล้ว<br /><br />ซุ้มรับเสด็จในสมัยรัชกาลที่ ๕ ส่วนใหญ่เป็นซุ้มแบบทันสมัยด้วยรูปทรงสถาปัตยกรรมยุโรป บางซุ้มถูกสร้างขึ้นด้วยรูปแบบที่ล้ำสมัยอย่างไม่น่าเชื่อ นั่นก็เป็นเพราะว่าการจัดวางพระราชอำนาจระหว่างรัชกาลที่ ๕ กับรัชกาลปัจจุบันมีลักษณะที่แตกต่างกัน<br /><br />รัชกาลที่ ๕ ทรงเป็นกษัตริย์สมบูรณาญาสิทธิราชย์ที่กำลังนำพาประเทศก้าวสู่ความเป็นสมัยใหม่ที่มี<br />สังคมยุโรปเป็นแบบจำลอง ภายใต้บริบทดังกล่าว คติจารีตแบบโบราณถูกมองด้วยสายตาดูแคลน เป็นของล้าหลังไร้อารยะ โลกใหม่ในสมัยรัชกาลที่ ๕ มีต้นแบบคือความเจริญสมัยใหม่แบบยุโรป<br /><br />ในขณะที่ปัจจุบัน แม้ว่าโลกจะก้าวหน้ามากยิ่งขึ้นกว่าในสมัยรัชกาลที่ ๕ อย่างเทียบกันไม่ได้ แต่สถาบันกษัตริย์ในสังคมไทยปัจจุบันอยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ การบริหารราชการแผ่นดินกระทำผ่านองค์กรของรัฐที่มีที่มาจากอำนาจของประชาชนทุกคนในสั<br />งคมไทย ผ่านกระบวนการเลือกตั้งในระบอบประชาธิปไตย<br /><br />สถาบันกษัตริย์จำเป็นจะต้องปรับเปลี่ยนรูปแบบความสัมพันธ์เชิงอำนาจไปในทิศทางใหม่ โดยจัดวางพระราชอำนาจให้สัมพันธ์กับคติธรรมราชาและจักรพรรดิราช โดยเน้นอำนาจศักดิ์สิทธิ์และพระบารมีตามคติแบบโบราณแทน ดังนั้น สัญลักษณ์ที่แสดงออกจึงหลีกไม่พ้นการยึดโยงกับจารีตประเพณีโบราณต่างๆ ดังที่ปรากฏให้เห็นได้จากซุ้มเฉลิมพระเกียรติในคราวพระราชพิธีกาญจนาภิเษก และยังปรากฏให้เห็นอีกครั้งในคราวฉลองสิริราชสมบัติครบ ๖๐ ปีที่ผ่านมาด้วย<br /><br />นอกจากซุ้มเฉลิมพระเกียรติดังกล่าวแล้ว สิ่งก่อสร้างอื่นๆ ที่ถูกสร้างขึ้นก็จะเลือกใช้รูปแบบสถาปัตยกรรมแบบจารีตโบราณมาเป็นแนวทางหลักในการออ<br />กแบบ ตัวอย่างล่าสุดคือ โครงการก่อสร้างอาคารศาลฎีกาหลังใหม่ บริเวณสนามหลวง ที่อยู่ภายใต้โครงการเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษา โดยจะทำการรื้ออาคารศาลเก่าที่เป็นตัวแทนความทรงจำของยุคคณะราษฎรออกไป และสร้างอาคารที่เป็นตัวแทนความทรงจำใหม่ลงไปแทน โดยรูปแบบสถาปัตยกรรมที่ถูกเลือกมาใช้คือ “รูปแบบสถาปัตยกรรมไทยประยุกต์” รูปทรงอาคารประหนึ่งว่าจะสร้างให้อาคารศาลแห่งนี้เป็นดั่งวิมาน ตัวอาคารจะเต็มไปด้วยลวดลายและองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมแบบจารีตในอดีต ซึ่งเป็นการย้อนยุคสมัยทางสถาปัตยกรรมเป็นอย่างยิ่ง<br /><br /><br /><b>ราชดำเนิน: การเดินทางเพื่อกลับไปที่เดิม ? </b><br /><br />แนวทางสำคัญของรัชกาลที่ ๗ ในการประคับประคองระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์คือ ทรงพยายามนำเสนอการปฏิรูปโครงสร้างภายในของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์บางประการ เพื่อตอบสนองต่อปัญหาต่างๆ ที่รุมเร้ามากขึ้น โดยพระองค์ได้ทรงมีแนวคิดที่จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ<br /><br />เป็นที่รับรู้และไม่ต้องสงสัยแล้วว่า รัฐธรรมนูญฉบับที่ตั้งใจจะพระราชทานนั้น มิได้เป็นรัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตยตามความเข้าใจทั่วไปแต่อย่างใดเลย (แม้จะมีนักวิชาการหัวอนุรักษ์นิยมบางกลุ่มพยายามจะตีความไปแบบนั้น) เป็นแต่เพียงความพยายามที่จะปฏิรูปความสัมพันธ์เชิงอำนาจของระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย<br />์ใหม่ โดยลดแรงปะทะทางการเมืองที่มาสู่กษัตริย์ลง เบี่ยงกษัตริย์ออกจากการตัดสินใจเชิงนโยบายของรัฐโดยตรง และขยายฐานของระบอบฯ ด้วยการเพิ่มการมีส่วนร่วมทางการเมืองของฝ่ายต่างๆ ให้มากขึ้นกว่าเดิมเพียงเล็กน้อย41<br /><br />แบบจำลองโครงสร้างอำนาจของกษัตริย์ที่ปรากฏอยู่ในโครงร่างรัฐธรรมนูญที่พระองค์มีพระ<br />ราชดำริที่จะพระราชทานแก่ราษฎรในงานฉลองพระนครครบ ๑๕๐ ปีนั้น โปรดเกล้าฯ ให้ นายเรย์มอนด์ บี สตีเวนส์ (Raymond B. Stevens) และพระยาศรีวิสารวาจา ร่างขึ้นในช่วงปี พ.ศ. ๒๔๗๔ ซึ่งได้ยกกษัตริย์ออกจากการบริหารราชการแผ่นดินทางตรง โดยมีนายกรัฐมนตรีและองค์กรอื่นๆ มารับภาระนี้แทน42<br /><br />อย่างไรก็ตาม ถ้าพิจารณาให้ดีก็จะพบว่า กษัตริย์ก็ยังคงอยู่เบื้องหลังและกุมอำนาจขั้นสุดท้ายไว้อยู่นั่นเอง เป็นแต่เพียงมีองค์กรอื่นขึ้นมาออกหน้ารับผิดชอบแทนเท่านั้น<br /><br />ในการเดียวกันนี้ รัชกาลที่ ๗ ทรงพยายามนำเสนอภาพลักษณ์และบทบาทใหม่ของสถาบันกษัตริย์ในมิติของพระราชกฤษฎาภินิหาร<br />และพระบรมเดชานุภาพตามอุดมคติแบบจารีตของสยาม (จักรพรรดิราช) ที่เน้นบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ของกษัตริย์ ให้หวนกลับมามีความหมายขึ้นใหม่อีกครั้ง โดยเข้ามาแทนที่ภาพลักษณ์ของกษัตริย์ในยุคสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ซึ่งเพิ่งถูกสร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ ๕<br /><br />ความสำคัญของภาพลักษณ์กษัตริย์ในแบบจารีตคือการมีพระราชอำนาจอันจำกัด แต่มีพระบารมีอันไพศาล ความรู้สึกของราษฎรต่อกษัตริย์ในอุดมคตินี้ จะมีลักษณะน่าเคารพ ยำเกรง หรือออกไปทางเกรงกลัว กษัตริย์แบบนี้จะมีความยิ่งใหญ่ เปรียบเสมือนเทวดา อยู่เหนือพ้นสภาพจากราษฎรทั่วไป ซึ่งเข้ากันได้ดีกับโครงสร้างอำนาจใหม่ที่ปรากฏในรัฐธรรมนูญฉบับที่รัชกาลที่ ๗ จะพระราชทาน<br /><br />นิธิ เอียวศรีวงศ์ ได้วิเคราะห์อนุสาวรีย์ปฐมบรมราชานุสรณ์เชิงสะพานพุทธ (รัชกาลที่ ๗ ทรงมีพระราชดำริให้สร้างไว้) อย่างน่าคิดว่า ภาพลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ที่ปรากฏในปฐมบรมราชานุสรณ์นั้นเน้นพระเกียรติแบบจารีต เป็นกษัตริย์ที่เน้นอำนาจบารมีและความศักดิ์สิทธิ์ ซึ่งเป็นภาพลักษณ์ที่รัชกาลที่ ๗ ทรงพยายามนำเสนอขึ้นใหม่ ซึ่งสอดคล้องกับโครงสร้างอำนาจในรัฐธรรมนูญฉบับพระราชทาน43<br /><br />ที่กล่าวมาทั้งหมดนี้ ก็เพื่อที่จะตั้งเป็นข้อสังเกตว่า โครงสร้างอำนาจแบบที่รัชกาลที่ ๗ พยายามจะพระราชทานแก่สังคมไทยเมื่อ ๗๕ ปีที่ผ่านมานั้น มีความสอดคล้องกันอย่างน่าประหลาด (แม้จะไม่ทั้งหมด) กับโครงสร้างอำนาจที่ปรากฏอยู่ในสังคมไทยปัจจุบัน ที่สำคัญ ภาพลักษณ์ของสถาบันกษัตริย์ที่รัชกาลที่ ๗ ทรงพยายามสร้างขึ้นนั้นก็เป็นสิ่งที่ปรากฏให้เห็นได้ในปัจจุบัน<br /><br />หากเราลองเดินไปตามเส้นทางถนนราชดำเนิน เริ่มตั้งแต่ราชดำเนินในจนไปสุดที่ปลายทาง คือถนนราชดำเนินนอก โดยเดินไปพร้อมๆ กับมองหาความทรงจำและอำนาจที่แฝงเร้นอยู่ในองค์ประกอบสองข้างของถนน เมื่อเดินไปจนสุดถนน เราอาจจะพบความจริงว่า ตลอดระยะเวลา ๗๕ ปีที่ผ่านมาหลังการเปลี่ยนแปลงการปกครองในวันที่ ๒๔ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๗๕ สังคมไทยกำลังเดินทาง “กลับไปสู่ที่เดิม”44<br /><br /><br /><span style="font-size:85%;">1 พึงระลึกไว้เสมอว่า ภาษาสถาปัตยกรรมเป็นภาษาที่ต้องอาศัยการตีความมาก เมื่อต้องตีความมากก็ย่อมมีโอกาสผิดพลาดมากเช่นกัน ดังนั้น การตีความที่ปรากฏในงานศึกษาชิ้นนี้จึงเป็นเพียงแนวทางหนึ่งของความพยายามทำความเข้า<br />ใจภาษาสถาปัตยกรรมเท่านั้น มิใช่ข้อสรุปที่แน่นอนและลงตัวแล้วแต่อย่างใด<br /><br />2 วลีนี้ผู้เขียนขอยืมมาจากคำโปรยบนหน้าปกหนังสือ Walking tour ทอดน่องท่องเที่ยว ประวัติศาสตร์การเมืองไทย เขียนโดยนิภาพร รัชตพัฒนากุล และเทอดพงศ์ คงจันทร์ พิมพ์โดยสำนักพิมพ์มติชน ปี ๒๕๔๘<br /><br />3 หจช., ร.๕ ยธ. ๙/๔๑ เรื่อง ร่างประกาศตัดถนนราชดำเนินนอก ๑ พฤศจิกายน ร.ศ. ๑๒๒.<br /><br />4 ดูรายละเอียดใน ชาตรี ประกิตนนทการ, “สมบูรณาญาสิทธิราชย์และจักรวาลวิทยาสมัยใหม่ในพระอุโบสถวัดเบญจมบพิตร,” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๔ ฉบับที่ ๙ (กรกฎาคม ๒๕๔๖): ๘๐ - ๙๖.<br /><br />5 ในวงวิชาการปัจจุบัน เป็นที่เข้าใจว่า “สยามเก่า” คือยุคสมัยก่อนการปฏิรูปประเทศในรัชกาลที่ ๕ และ “สยามใหม่” คือยุคหลังการปฏิรูปในรัชกาลที่ ๕ แต่หากย้อนกลับในช่วงหลังปฏิวัติ พ.ศ. ๒๔๗๕ คำว่า “สยามเก่า” ใช้ในความหมายถึงยุคก่อนการปฏิวัติ ๒๔๗๕ ที่ปกครองในระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์<br /><br />ขณะที่ “สยามใหม่” จะหมายถึงยุคหลังปี ๒๔๗๕ ที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย (ซึ่งในบทความจะใช้ในความหมายตามนัยที่สองนี้) ตัวอย่างสำคัญของการใช้ตามนัยที่สอง ได้แก่งานเขียนของ จำกัด พลางกูร เรื่อง “ปรัชญาของสยามใหม่” (ตีพิมพ์ปี พ.ศ. ๒๔๗๙) ต่อมาภายหลัง เมื่อมีการเปลี่ยนชื่อประเทศจากสยามเป็นไทย ผู้นำคณะราษฎรจึงหันมาเรียกยุคหลังปี พ.ศ. ๒๔๗๕ ว่ายุค “ไทยใหม่” แทน<br /><br />6 ดูรายละเอียดใน ชาตรี ประกิตนนทการ, “ศิลปะคณะราษฎร,” ฟ้าเดียวกัน ปีที่ ๕ ฉบับที่ ๑ (มกราคม-มีนาคม ๒๕๕๐): ๙๐ - ๑๑๑.<br /><br />7 สำเนารายงานการประชุมคณะกรรมการจัดงานวันชาติ ครั้งที่ ๑ เมื่อ ๓๐ มกราคม พ.ศ. ๒๔๘๑ อ้างถึงใน มาลินี คุ้มสุภา, อนุสาวรีย์ประชาธิปไตยกับความหมายที่มองไม่เห็น (กรุงเทพฯ: วิภาษา, ๒๕๔๘), หน้า ๑๐๕.<br /><br />8 ปีกทั้งสี่ด้านของอนุสาวรีย์สูง ๒๔ เมตร รัศมีของอนุสาวรีย์ยาว ๒๔ เมตร สื่อถึงวันที่ ๒๔ พานรัฐธรรมนูญซึ่งตั้งอยู่บนป้อมกลางของอนุสาวรีย์สูง ๓ เมตร หมายถึงเดือน ๓ คือเดือนมิถุนายน (ตามปฏิทินเก่า) ปืนใหญ่ที่ฝังรอบอนุสาวรีย์มี ๗๕ กระบอก หมายถึงปี พ.ศ. ๒๔๗๕ รูปพระขรรค์หกเล่มที่ประดับอยู่บนอกเลาประตูรอบป้อมกลาง หมายถึงหลักหกประการของคณะราษฎร ดูรายละเอียดใน กรมโฆษณาการ, เรื่องการเปิดอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย (กรุงเทพฯ: กรมโฆษณาการ, ๒๔๘๓), หน้า ๒ - ๓.<br /><br />9 ดูรายละเอียดใน ชาตรี ประกิตนนทการ, การเมืองและสังคมในศิลปสถาปัตยกรรม สยามสมัย ไทยประยุกต์ ชาตินิยม (กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๔๘), หน้า ๒๙๙ - ๓๒๒.<br /><br />10 สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คืออะไร?,” ฟ้าเดียวกัน ปีที่ ๔ ฉบับที่ ๑ (มกราคม - มีนาคม ๒๕๔๙): ๙๐.<br /><br />11 อย่างไรก็ตาม ควรตั้งเป็นข้อสังเกตว่า การสร้างความทรงจำใหม่ของคณะราษฎรบนถนนราชดำเนินดูจะไม่มีลักษณะหักล้างสัญลักษณ์แห่<br />งความทรงจำในสมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์มากนัก เพราะสัญลักษณ์ดูจะแบ่งพื้นที่กันอย่างชัดเจน โดยความทรงจำแบบคณะราษฎรจะปรากฏอยู่บนถนนราชดำเนินกลาง ส่วนความทรงจำแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ยังคงอยู่ที่ถนนราชดำเนินนอก<br /><br />12 ณัฐพล ใจจริง, “การรื้อสร้าง ๒๔๗๕: ฝันจริงของนักอุดมคติน้ำเงินแท้,” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๗ ฉบับที่ ๒ (ธันวาคม ๒๕๔๘): ๙๓ - ๙๔.<br /><br /><br />13 ม.ร.ว. เสนีย์ ปราโมช, ประชุมปาฐกถา และคำอภิปราย พ.ศ. ๒๔๘๙ - ๒๕๐๙ (พระนคร: รวมสาส์น, ๒๕๐๙), หน้า ๑๕๔.<br /><br />14 แมลงหวี่ (นามแฝง), เบื้องหลังประวัติศาสตร์ เล่ม ๑ อ้างถึงใน ณัฐพล ใจจริง, “การรื้อสร้าง ๒๔๗๕: ฝันจริงของนักอุดมคติน้ำเงินแท้,” ศิลปวัฒนธรรม,: ๙๗.<br /><br />15 หจช., (๑) มท. ๑.๑.๓.๓/๑ เรื่อง อนุสสาวรีย์พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ วันที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๔๙๖, หน้า ๑.<br /><br />16 อนุสาวรีย์สำคัญๆ ในชุด “พระบิดา” อาทิเช่น อนุสาวรีย์กรมพระกำแพงเพชรอัครโยธิน หน้าการรถไฟแห่งประเทศไทย อนุสาวรีย์สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ หน้ากระทรวงมหาดไทย อนุสาวรีย์สมเด็จพระมหิตลาธิเบศรอดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก ที่โรงพยาบาลศิริราช เป็นต้น<br /><br />17 ชนิดา ชิตบัณฑิตย์, โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การสถาปนาพระราชอำนาจนำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๕๐), หน้า ๖๓.<br /><br />18 ดูรายละเอียดการวิเคราะห์เรื่องนี้ได้ใน สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, “สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์คืออะไร?,” ฟ้าเดียวกัน: ๖๗-๙๓.<br /><br />19 ทักษ์ เฉลิมเตียรณ, การเมืองระบบพ่อขุนอุปถัมภ์แบบเผด็จการ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๓๕๒ - ๓๖๔.<br /><br />20 เพิ่งอ้าง, หน้า ๓๖๕.<br /><br />21 ดูรายละเอียดใน พระราชพิธีเฉลิมพระชนมพรรษา ๓ รอบ ๕ ธันวาคม ๒๕๐๖ (กรุงเทพฯ: สำนักพระราชวัง, ๒๕๓๓).<br /><br />22 เบเนดิก แอนเดอร์สัน, “บ้านเมืองของเราลงแดง: แง่มุมทางสังคมและวัฒนธรรมของรัฐประหาร ๖ ตุลาคม,” ใน จาก ๑๔ ถึง ๖ ตุลา (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๑), หน้า ๑๐๒ - ๑๑๖.<br /><br />23 ไมเคิล ไรท์, “อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย "อนุสาวรีย์โกหก" ที่ถูกดัดแปลงให้พูดความจริง,” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๑๔, ฉบับที่ ๒ (ธันวาคม ๒๕๓๕): ๑๗๘ - ๑๘๑.<br /><br />24 พิธีเปิดอนุสรณ์สถานวีรชนประชาธิปไตย ณ สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๔ (กรุงเทพฯ; บริษัทโรงพิมพ์เดือนตุลา จำกัด, ๒๕๔๔), หน้า ๑๐.<br /><br />25 แม้ว่าความทรงจำที่เป็นบาดแผลใหญ่ของสังคมไทยในวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ จะยังไม่ถูกสะสาง รวมทั้งยังเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากลืม ดังนั้น มันจึงถูกกดทับและปิดบังไว้จนกระทั่งปัจจุบัน แต่ดังที่ได้กล่าวไว้ในตอนต้นบทความแล้วว่า หากเมื่อใด โครงสร้างอำนาจมีการเปลี่ยนแปลงไปจากที่เป็นอยู่ ความทรงจำที่ถูกซุกไว้ใต้พรมชิ้นนี้ก็อาจพร้อมจะเผยตัวออกมาเรียกร้องขอที่ยืนบนหน้า<br />ประวัติศาสตร์เช่นกัน<br /><br />26 พิธีเปิดอนุสรณ์สถานวีรชนประชาธิปไตย ณ สี่แยกคอกวัว ถนนราชดำเนินกลาง ๑๔ ตุลาคม ๒๕๔๔, หน้า ๑๙.<br /><br />27 ชาญวิทย์ เกษตรศิริ, “๑๔ ตุลา: บันทึกประวัติศาสตร์,” ใน จาก ๑๔ ถึง ๑๖ ตุลา, หน้า ๑๙๕ - ๑๙๖.<br /><br />28 ประจักษ์ ก้องกีรติ, และแล้วความเคลื่อนไหวก็ปรากฏ: การเมืองวัฒนธรรมของนักศึกษาและปัญญาชนก่อน ๑๔ ตุลาฯ (กรุงเทพฯ: สำนักพิมพ์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์, ๒๕๔๘), หน้า ๕๓๓.<br /><br /><br />29 ดูแนวคิดดังกล่าวใน ธงชัย วินิจจะกูล, “ประวัติศาสตร์ไทยแบบราชาชาตินิยม,” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๒๒ ฉบับที่ ๑ (พฤศจิกายน ๒๕๔๔): ๕๖ - ๖๕.<br /><br />30 ชนิดา ชิตบัณฑิตย์, โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ: การสถาปนาพระราชอำนาจนำในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว, หน้า ๒๘๗.<br /><br />31 ดูรายละเอียดใน โครงการกรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ: สำนักงานคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ กระทรวงวิทยาศาสตร์เทคโนโลยี่และการพลังงาน, ๒๕๓๙)<br /><br />32 ดูรายละเอียดใน กองจดหมายเหตุแห่งชาติ กรมศิลปากร, จดหมายเหตุการอนุรักษ์กรุงรัตนโกสินทร์ (กรุงเทพฯ: สหประชาพาณิชย์, ๒๕๒๕).<br /><br />33 ดู ชาลี เอี่ยมกระสินธุ์, “เมื่อชาวสยามรับเสด็จพระพุทธเจ้าหลวง,” สถาปนิก ฉบับ ๒๐๐ ปีรัตนโกสินทร์ (๒๕๒๕), หน้า ๙๔.<br /><br />34 กรมศิลปากร, จดหมายเหตุการรับเสด็จพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จกลับจากยุโรปครั้ง<br />หลัง ร.ศ. ๑๒๖ (พ.ศ. ๒๔๕๐), หน้า ๒๘.<br /><br />35 บัณฑิต ลิ่วชัยชาญ, ซุ้มเฉลิมพระเกียรติในพระราชพิธีกาญจนาภิเษก (กรุงเทพฯ: เอส.ที.พี. เวิลด์มีเดีย, ๒๕๔๑), หน้า ๑๓ - ๑๔.<br /><br />36 โครงการสวนสาธารณะบริเวณชุมชนป้อมมหากาฬนับเป็นความขัดแย้งยาวนานและยืดเยื้อ ระหว่างรัฐกับชุมชนในพื้นที่ ซึ่ง ณ ปัจจุบันก็ยังคงมีอยู่ ภายใต้ความขัดแย้งยาวนานนั้น รัฐ (โดย กทม.) สามารถเข้าไปสร้างสวนสาธารณะได้แล้วเป็นบางส่วนบนพื้นที่ติดกับตัวป้อมมหากาฬ โดยดำเนินการภายใต้โครงการสวนเฉลิมพระเกียรติสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิต์<br /><br />37 โครงการสวนเฉลิมพระเกียรติ ๘๐ พรรษาเป็นโครงการที่คิดขึ้นใหม่ โดยเข้ามาแทนที่โครงการก่อสร้างอนุสรณ์สถานวีรชนประชาธิปไตยในเหตุการณ์พฤษภาทมิฬ แม้ว่าล่าสุด โครงการทั้งสองจะสามารถบรรลุข้อตกลงในเบื้องต้นว่าจะมีการแบ่งพื้นที่กัน และได้มีการวางศิลาฤกษ์อนุสรณ์สถานไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม ยังไม่มีรูปธรรมใดๆ ที่สามารถยืนยันได้ชัดเจน ประเด็นนี้เป็นอีกครั้งหนึ่งที่แสดงให้เห็นถึงการต่อสู้แย่งชิงกันระหว่างความทรงจำข<br />องคนชั้นกลางกับความทรงจำว่าด้วยสถาบันกษัตริย์บนพื้นที่ถนนราชดำเนิน<br /><br />38 ดูรายละเอียดโครงการ ข่าวศาลยุติธรรม ปีที่ ๗ ฉบับพิเศษที่ ๗๙ วันที่ ๑๒ ธันวาคม ๒๕๔๙: ๑.<br /><br />39 เพิ่งอ้าง, หน้า ๑๖.<br /><br />40 “ซุ้มเฉลิมพระเกียรติแก้ว ๗ ประการของจักรพรรดิราช,” ศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๑๗ ฉบับที่ ๑๐ (สิงหาคม ๒๕๓๙), หน้า ๒๘ - ๓๑.<br /><br />41 ดูรายละเอียดได้ในงานเขียนหลายชิ้น อาทิ เบนจามิน เอ. บัทสัน, อวสานสมบูรณาญาสิทธิราชย์ในสยาม = The end of the Absolute Monarchy in Siam, แปลโดย พรรณงาม เง่าธรรมสารและคณะ (กรุงเทพฯ: มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์, ๒๕๔๓), หน้า ๑๘๓ - ๒๓๙., นครินทร์ เมฆไตรรัตน์, การปฏิวัติสยาม พ.ศ. ๒๔๗๕ (กรุงเทพฯ: อมรินทร์, ๒๕๔๓), หน้า ๑๘๐ - ๒๑๘. และนิธิ เอียวศรีวงศ์, “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ไทย,” ศิลปวัฒนธรรม ปี ๑๕ ฉบับที่ ๓(มกราคม ๒๕๓๗): ๑๑๐ - ๑๑๔. เป็นต้น<br /><br />42 ดู ร่างรัฐธรรมนูญของนายเรย์มอนด์ บี. สตีเวนส์ กับ พระยาศรีวิสารวาจา พ.ศ. ๒๔๗๔ ใน สนธิ เตชานันท์, แผนพัฒนาการเมืองไปสู่การปกครองระบอบ “ประชาธิปไตย” ตามแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว (กรุงเทพฯ: โครงการผลิตเอกสารทางวิชาการ ภาควิชารัฐศาสตร์ และรัฐประศาสนศาสตร์ คณะสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์, ๒๕๑๙), หน้า ๑๔๗ - ๑๕๐.<br /><br />43 นิธิ เอียวศรีวงศ์, “สงครามอนุสาวรีย์กับรัฐไทย,” ชาติไทย เมืองไทย แบบเรียนและอนุสาวรีย์ (กรุงเทพฯ: มติชน, ๒๕๓๘): หน้า ๙๒.<br /><br />44 มีสิ่งหนึ่งที่ผู้เขียนคิดว่ามีความสำคัญมากต่อทิศทางในปัจจุบันและอนาคตของถนนราชดำ<br />เนินคือ โครงการพัฒนาถนนราชดำเนินและพื้นที่ต่อเนื่อง ซึ่งเป็นที่รู้จักกันในชื่อเล่นๆ ว่า “โครงการชองเอลิเซ่ไทย” ในทัศนะผู้เขียน โครงการนี้เป็นผลิตผลของกระแสทุนนิยม - การท่องเที่ยว ที่ปรากฏในสังคมไทยมายาวนาน (รูปธรรมที่ชัดเช่นคือการเกิดขึ้นของปีการท่องเที่ยวไทย พ.ศ. ๒๕๓๐) ทุนนิยม - การท่องเที่ยวที่ปรากฏบนถนนราชดำเนินพยายามจะแปลงความทรงจำต่างๆ บนถนนราชดำเนินมาเป็น “สินค้าทางวัฒนธรรม” ประเด็นคำถามที่น่าคิดคือ กระบวนการดังกล่าวนี้ต้องมีส่วนผสมเช่นไรจึงจะไม่เข้าไปทำลายมิติศักดิ์สิทธิ์ของควา<br />มทรงจำว่าด้วย “พระราชอำนาจ” การชลอโครงการชองเอลิเซ่ในยุครัฐบาลทักษิณ และการรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ เมื่อ ๑๙ กันยายน พ.ศ. ๒๕๔๙ ย่อมไม่ใช่จุดยุติของแนวคิดในการผสานทุนนิยม - การท่องเที่ยวลงบนความทรงจำบนถนนราชดำเนินแต่อย่างใด หากแต่เป็นการชลอตัวเพื่อหาส่วนผสมใหม่ที่ทุนนิยม - การท่องเที่ยวจะสามารถดำเนินไปอย่างสอดคล้องกับความทรงจำว่าด้วยพระราชอำนาจ บนถนนราชดำเนินเท่านั้น หากโครงการนี้เกิดขึ้นจริง ย่อมส่งผลกระทบมหาศาลต่อรูปแบบใหม่ของ “ความทรงจำ” บนถนนราชดำเนิน แต่ ณ ขณะนี้ ผู้เขียนยังไม่มีศักยภาพเพียงพอที่จะวิเคราะห์ได้</span><br /><br />ส่วนหนึ่งของภาพประกอบ<br /><br /><br /><!--ImageUrlBegin--><a linkindex="31" href="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/01.jpg" target="_new"><!--ImageUrlEBegin--><img class="attach" src="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/01.jpg" alt="ไฟล์ภาพในบอร์ด" border="0" width="100" /><!--ImageUrlEnd--></a><!--ImageUrlEEnd--><br /><br /><br /><span style="font-size:85%;">ถนนราชดำเนินในอดีต ราวทศวรรษที่ ๒๔๙๐<br />(ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)</span><br /><br /><br /><!--ImageUrlBegin--><a linkindex="32" href="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/02.jpg" target="_new"><!--ImageUrlEBegin--><img class="attach" src="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/02.jpg" alt="ไฟล์ภาพในบอร์ด" border="0" width="100" /><!--ImageUrlEnd--></a><!--ImageUrlEEnd--><br /><br /><br /><!--ImageUrlBegin--><a linkindex="33" href="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/03.jpg" target="_new"><!--ImageUrlEBegin--><img class="attach" src="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/03.jpg" alt="ไฟล์ภาพในบอร์ด" border="0" width="100" /><!--ImageUrlEnd--></a><!--ImageUrlEEnd--><br /><br /><br /><span style="font-size:85%;">ถนนราชดำเนินสมัยรัชกาลที่ ๕ (บน) ถนนราชดำเนินนอก บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ (ล่าง) ถนนราชดำเนินใน บริเวณสะพานผ่านพิภพลีลา (ที่มา: หอจดหมายเหตุแห่งชาติ)<br /></span><br /><br /><!--ImageUrlBegin--><a linkindex="34" href="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/04.jpg" target="_new"><!--ImageUrlEBegin--><img class="attach" src="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/04.jpg" alt="ไฟล์ภาพในบอร์ด" border="0" width="100" /><!--ImageUrlEnd--></a><!--ImageUrlEEnd--><br /><br /><br /><!--ImageUrlBegin--><a linkindex="35" href="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/05.jpg" target="_new"><!--ImageUrlEBegin--><img class="attach" src="http://www.muangboranjournal.com/journal/mbj334/images/05.jpg" alt="ไฟล์ภาพในบอร์ด" border="0" width="100" /><!--ImageUrlEnd--></a><!--ImageUrlEEnd--><br /><br /><br /><span style="font-size:85%;">ตัวอย่างองค์ประกอบทางกายภาพที่แวดล้อมในบริเวณถนนราชดำเนินและใกล้เคียง สมัยสมบูรณาญาสิทธิราชย์ (บน) พระที่นั่งอนันตสมาคม (ที่มา: ผู้เขียน) (ล่าง) พระที่นั่งอัมพรสถาน พระราชวังดุสิต (ที่มา: หนังสือประมวลภาพวังและตำหนัก)<br /><br />ที่มาจาก : <a href="http://www.sameskybooks.org/board/index.php?showtopic=5692">เว็บบอร์ดฟ้าเดียวกัน</a><br /><br /></span>historyMcmuhttp://www.blogger.com/profile/10528487425341058007noreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-1536154279973326788.post-62947940154440526522008-02-14T15:14:00.000-08:002008-02-14T15:20:53.038-08:0001 ชาตรี ประกิตนนทการ : สถาปัตย์คณะราษฎร บนพื้นที่ศักดิ์สิทธิแห่งสมบูรณาญาสิทธิราชย์<table bg="" style="color: rgb(0, 0, 0); text-align: left; margin-left: 0px; margin-right: auto;" border="0" cellpadding="10" cellspacing="2" width="80%"><tbody> <tr> <td align="left"><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >เมื่อวันที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >15 <span lang="TH">ก</span>.<span lang="TH">ย</span>. 50 <span lang="TH">มูลนิธิโครงการตำราสังคมศาสตร์และมนุษยศาสตร์ จัดงานเสวนา </span>‘<span lang="TH">ครบรอบ </span>100 <span lang="TH">ปีปริทัศน์</span>: <span lang="TH">รัฐธรรมนูญและกบฏปฏิวัติรัฐประหาร </span>- <span lang="TH">การเมืองสยามประเทศไทยสมัยใหม่ พ</span>.<span lang="TH">ศ</span>.2454-2550’ <span lang="TH">ณ หอประชุมศรีบูรพา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ และต่อจากนี้คือการถอดความและเรียบเรียงการบรรยายเรื่อง </span>"<span lang="TH">สถาปัตยกรรมไทย</span>: <span lang="TH">ภาพสะท้อนการเมืองในสยามประเทศไทย</span>"<span lang="TH"> โดยชาตรี ประกิตนนทการ </span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร </span><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" >และมี ศรัณย์ ทองปาน เป็นผู้ดำเนินรายการ</span><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 102, 0);"><o:p></o:p></span></b></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 102, 0);font-family:Tahoma;" ><o:p> </o:p></span></b></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 102, 0);font-family:Tahoma;" ><o:p> </o:p></span></b></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 102, 0);font-family:Tahoma;" >0 0 0<o:p></o:p></span></b></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 102, 0);font-family:Tahoma;" ><o:p> </o:p></span></b></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:100%;"><b><span style="color: rgb(255, 102, 0);font-family:Tahoma;" ><o:p> </o:p></span></b></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-size:100%;"><b><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ชาตรี ประกิตนนทการ </span></b><b><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></b></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >อาจารย์คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร</span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(255, 102, 0);font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p> </o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" ><span style="font-size:100%;">ศึกษาสถาปัตยกรรมจากกรณีเฉพาะที่เป็นอาคารสาธารณะ เนื่องจากอาคารสาธารณะคือสิ่งที่ผู้สร้างสื่อต้องการสื่อความหมายบางประการต่อสังคม โดยความหมายของสถาปัตยกรรมที่เป็นอาคารสาธารณะจะขยายคลุมไปถึงพื้นที่แวดล้อมอาคารด้วย ทั้งนี้ สถาปัตยกรรมที่เป็นอาคารสาธารณะมีความแตกต่างไปจากอนุสาวรีย์ตรงที่อนุสารีย์ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นสัญลักษณ์ทางการเมืองอยู่แล้ว แต่สำหรับงานสถาปัตยกรรมอาคารสาธารณะนั้น ปกติก็เห็นเป็นอาคารใช้งานเดินเข้าออกได้ตามปกติ จึงไม่รู้สึกอะไร ดังนั้น อาคารสาธารณะมีลักษณะเป็นสัญลักษณ์ที่ซ่อนอย่างแนบเนียน การศึกษาจึงอาศัยการตีความเป็นหลัก</span><br /><br /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"> </p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" ><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153704_72.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;">1 <span lang="TH">เมรุชั่วคราวของ </span>17 <span lang="TH">ผู้เสียชีวิตคราวปราบกบฎบวรเดช ณ ท้องสนามหลวง พ.ศ.</span>2476<br /><br /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="left"> </p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="left"> </p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >รูปแบบทางสถาปัตยกรรมคือเมรุชั่วคราวของผู้เสียชีวิตคราวปราบกบฎบวรเดช ณ ท้องสนามหลวง คือการเปลี่ยนแปลงครั้งแรกทางรูปแบบสถาปัตยกรรมสาธารณะ จะเห็นว่าเมรุดังกล่าวสร้างเป็นรูปกล่อง ไม่มีองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมตามประเพณี (เช่น </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:100%;">– </span><span lang="TH"><span style="font-size:100%;">ช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ เพิ่มเติมโดยผู้รายงาน)</span><br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"> </p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153716_4.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;">2: <span lang="TH">เมรุที่สร้างตามคติโบราณประเพณี ก่อน พ.ศ.</span>2475<br /><br /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ทั้งนี้ การสร้างเมรุชั่วคราวดังกล่าวที่ทุ่งพระเมรุ (สนามหลวง) เดิมรัชกาลที่ </span><span style="font-family:Tahoma;">7 <span lang="TH">ไม่ทรงยินยอม แต่ทางคณะราษฎรยืนยันที่จะสร้างเมรุชั่วคราวบนทุ่งพระเมรุ รัชกาลที่ </span>7 <span lang="TH">จึงต้องทรงยินยอม แต่ระบุถ้อยคำด้วยท่วงทำนองว่า </span>“<span lang="TH">ไม่ได้เป็นพระราชประสงค์</span>”<o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">พ.ศ. </span><span style="font-family:Tahoma;">2475<span lang="TH"> คือเส้นแบ่งในหลายๆ อย่าง สิ่งที่น่าจะเป็นเหตุผลที่รัชกาลที่ </span>7 <span lang="TH">ไม่โปรดให้สร้างเมรุชั่วคราวในพื้นที่ทุ่งพระเมรุนั้น เป็นเพราะพื้นที่นี้ถือว่าเป็นพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ในวัฒนธรรม ในแง่พิธีศพ หัวใจอยู่ที่สนามหลวง และพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ทางวัฒนธรรมยังกินความกว้างไกลไปถึงคลองรอบกรุงซึ่งเลือดไพร่ห้ามตกในพื้นที่ เพราะเป็นพื้นที่ทางพิธีกรรมที่ใช้เฉพาะสำหรับกษัตริย์ ดังนั้นคราวสร้างเมรุชั่วคราวสำหรับ </span>17 <span lang="TH">ศพ ที่เสียชีวิตคราวปราบกบฎบวรเดชในพื้นที่ตรงนี้จึงเป็นการทำร้ายจิตใจฝ่ายเจ้ามาก เมรุชั่วคราวนี้จึงมีนัยยะทางสัญลักษณ์ที่รุนแรงและชัดเจนในการใช้พื้นที่สาธารณะ</span><o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >อีกประการหนึ่ง ตั้งแต่หลัง พ.ศ. </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:100%;">2475 </span><span lang="TH"><span style="font-size:100%;">พานรัฐธรรมนูญได้ถูกยกขึ้นมาเหมือนเป็นสิ่งศักดิ์สิทธิ์อีกอย่างหนึ่ง จึงต้องใช้พนักงานภูษามาลาเชิญรัฐธรรมนูญ และมีงานฉลองรัฐธรรมนูญทุกปีตลอดช่วงเวลาที่คณะราษฎรมีอำนาจ มีการจัดพลับพลาที่สนามหลวง<br />ดังรูป</span><br /><br /></span><o:p></o:p></span></span></p> </span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153727_60.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;">3: <span lang="TH">พลับพลารัฐธรรมนูญ<br /><span style="font-size:100%;"><br /> </span></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-size:100%;"><o:p> </o:p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"> </p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >สัญลักษณ์นี้ยังถูกถ่ายแบบไปอีก </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:100%;">70 </span><span lang="TH"><span style="font-size:100%;">จังหวัด และคล้ายถูกยกมาแทนที่สถาบันด้วย อย่างไรก็ตาม ในปัจจุบันความหมายของพานรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นอย่างคณะราษฎรเคยใช้มาแต่เดิม</span><br /><br /></span><o:p></o:p></span></span></p></span></span></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153737_82.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span><br />ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;">4 : <span lang="TH">อนุสาวรีย์ปราบกบฎ หรืออนุสาวรีย์พิทักษ์ธรรมนูญ<br /><br /></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span lang="TH">ที่ปัจจุบันเพียงเรียกชื่อตามแหล่งที่ตั้งว่า อนุสาวรีย์หลักสี่</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >อนุสาวรีย์ปราบกบฏ สร้างขึ้นเพื่อระลึกถึงคราวเหตุการณ์ปราบกบฏบวรเดช <span style=""> </span>พ.ศ. </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:100%;">2476 </span><span lang="TH"><span style="font-size:100%;">ก็ใช้พานรัฐธรรมนูญเป็นสัญลักษณ์ แต่ชื่อปัจจุบันคืออนุสาวรีย์หลักสี่และกลายเป็นอนุสาวรีย์ที่เหงาสุดในกรุงเทพฯ เนื่องจากบริบททางสังคมที่ทำให้ถูกลืมจึงไม่บอกนัยยะอะไร<br />ชื่อก็กลายเป็นเพียงการบอกสถานที่</span><br /><br /></span><o:p></o:p></span></span></p></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><o:p> </o:p></span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0.9pt 0pt 0cm;" align="center"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153748_64.JPG" border="0" height="262" width="350" /></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ภาพที่</span><span style="font-family:Tahoma;"> 5 : <span lang="TH">วัดพระศรีมหาธาตุ บางเขน<br /><br /></span></span></p></span></span></span></span> </span><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ในพื้นที่เดียวกัน ได้สร้างวัดพระศรีมหาธาตุ อีกแห่ง ในยุคคณะราษฎร เดิมทีวัดดังกล่าวจะตั้งชื่อว่า วัดประชาธิปไตย และวัดนี้เป็นวัดมหาธาตุแห่งที่ </span><span style="font-family:Tahoma;">2 <span lang="TH">ของกรุงเทพ ในขณะที่ตามเมืองต่างๆ จะมีวัดมหาธาตุแค่วัดเดียวเท่านั้น ปัจจุบันวัดนี้รู้จักกันในชื่อที่เรียกแค่ว่า วัดพระศรี หรือเป็นวัดที่เอาไว้เผาศพทหาร สุดท้ายกลายเป็นวัดเฉพาะในกลุ่มคณะราษฎร เช่น ที่เก็บกระดูกของบรรดาคณะราษฎร ทั้งนี้ ในช่วงหลัง พ.ศ. </span>2475 <span lang="TH">พื้นที่ทุ่งบางเขนจากเดิมที่เคยเป็นทุ่ง รอบๆ พื้นที่นี้คล้ายถูกโปรโมทให้สำคัญขึ้น เช่น การสร้างถนนพหลโยธินที่มาจากชื่อของพระยาพหลพลพยุหเสนา</span><o:p></o:p></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><b><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">สยามใหม่ <span style=""> </span></span></b><b><span style="font-family:Tahoma;">- <span lang="TH">ไทยใหม่ </span><o:p></o:p></span></b></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">คำว่าสยามใหม่ในที่นี้ไม่ได้เป็นความหมายที่ใช้ทั่วไปในทางวิชาการที่กำหนดให้สยามใหม่ คือช่วงตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ </span><span style="font-family:Tahoma;">5 <span lang="TH">เป็นต้นมา แต่หมายถึงสยามหลังจาก พ.ศ. </span>2475 <o:p></o:p></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >พ.ศ. </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:100%;">2475 </span><span lang="TH"><span style="font-size:100%;">คล้ายเป็นเส้นแบ่งทั้งทางประวัติศาสตร์ ทางศิลปะและสถาปัตยกรรม หรือทางวัฒนธรรมซึ่งมีส่วนเสริมคณะราษฎรในแง่การเมืองการทหาร</span><br /><br /><o:p></o:p></span></span></span></span></p> </span></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></span><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153758_1.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">6 : <span lang="TH">อาคารชั่วคราวกรมศิลปากรในงานฉลองรัฐธรรมนูญ<br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="left"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;">อาคารชั่วคราวของกรมศิลปากร ในงานฉลองรัฐธรรมนูญจะเห็นว่าที่ไม่มีช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ถือว่าตัดขาดจากสถาปัตยกรรมแบบจารีตประเพณี</span><br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153811_87.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">7 : <span lang="TH">การใช้สถาปัตยกรรมที่ไม่มีหลังคาจั่วแบบคณะราษฎรเป็นฉาก<br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;">สังเกตว่าอาคารสมัยคณะราษฎรมีการใช้สถาปัตยกรรมเป็นฉาก ซึ่งเป็นอาคารที่มักไม่มีหลังคาจั่วแต่เป็นหลังคาตัด มีเรื่องเล่ากันว่า สมัยนั้นเคยมีคนแก่เดินมาที่ถนนราชดำเนินเห็นอาคารแบบนี้ก็ถามว่าทำไมสร้างไม่เสร็จเสียที เพราะมันไม่มีหลังคาจั่วแบบประเพณีจึงดูเหมือนสร้างยังไม่เสร็จตลอดเวลา และนี่คือความใหม่ในยุคดังกล่าว</span><br /><br /></span></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></p></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p></span><o:p></o:p></span></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153827_53.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">: 8 <span lang="TH">โรงแรมสุริยานนท์ วันเปิดจะเห็นว่าสีของโรงแรมเป็นสีดำ<br /><br /><span style="font-size:100%;">แต่ตอนนี้ทาเป็นสีเหลืองเพราะผู้บูรณะอาคารบอกว่าขูดอาคารดูสีเก่าแล้วพบว่าเจอสีเหลือง</span><br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0.9pt 0pt 0cm;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153841_2.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">9 : <span lang="TH">งานฉลองรัฐธรรมนูญ ซึ่งจัดทุกปีในช่วงคณะราษฎรยังมีอำนาจ<br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></o:p></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >งานฉลองรัฐธรรมนูญู จัดซุ้มออกงานด้วยการสร้างอาคารที่จริงจังเพื่อสะท้อนอุดมการณ์บางประการ ซึ่งไม่เหมือนการออกซุ้มงาน เช่น งานกาชาดในปัจจุบัน ที่ทำอย่างไรก็ได้ให้ค่าซุ้มใช้ราคาถูกที่สุด สิ่งสำคัญในยุคนั้นคือพานรัฐธรรมนูญและหลัก </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:100%;">6 </span><span lang="TH" style="font-size:100%;">ประการ บนสถาปัตยกรรมจึงต้องมีภาพพานรัฐธรรมนูญ และสิ่งแสดงถึงหลัก </span><span style="font-size:100%;">6 </span><span lang="TH" style="font-size:100%;">ประการ ซึ่งแสดงออกมาง่ายๆ เมื่อนับตัวเลขเป็น </span><span style="font-size:100%;">6 </span><span lang="TH" style="font-size:100%;">เช่น อาคารมีเสา </span><span style="font-size:100%;">6 </span><span lang="TH" style="font-size:100%;">ต้น การประดับธง </span><span style="font-size:100%;">6 </span><span lang="TH" style="font-size:100%;">ผืน หรือเจดีย์วัดพระศรี ที่บัวกลุ่มมี </span><span style="font-size:100%;">6 </span><span lang="TH"><span style="font-size:100%;">ชั้นหรือเป็นเลขคู่ ในขณะที่การทำบัวกลุ่มของเจดีย์ตามประเพณีเป็นเรื่องที่รู้กันว่าต้องเป็นเลขคี่เพื่อให้เป็นมงคล<br /></span><br /></span><o:p></o:p></span></span></span></p> </span></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:85%;" > </span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:85%;" > </span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153858_47.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">10 : <span lang="TH">สถาปัตยกรรมแบบคณะราษฎรที่ต้องมีภาพพานรัฐธรรมนูญ และเสา </span>6 <span lang="TH">ต้น<br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">สำหรับลักษณะทางศิลปกรรมยุคคณะราษฎร ก็คืองานสะท้อนหลัก </span><span style="font-family:Tahoma;">6 <span lang="TH">ประการและพานรัฐธรรมนูญ เช่น งานศิลปะที่ชื่อเลี้ยงช้างน้อยด้วยอ้อยหก เป็นประติมากรรมรูปช้างม้วนอ้อย </span>6<span lang="TH"> อัน ช้างก็เหมือนสัญลักษณ์แทนประเทศไทยที่จะเติบโตขึ้นด้วยหลัก </span>6 <span lang="TH">ประการ เป็นต้น<o:p></o:p></span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:100%;">ศิลปกรรมยุคนี้ยังเน้นการทำเป็นรูปคนที่แสดงสัดส่วนชัดเจนและเหมือนนักกล้ามเปลือย ผู้นำคนสำคัญทางศิลปะในยุคนั้นคือ ศิลป์ พีระศรี มีคำอธิบายในประเด็นนี้การทำลักษณะทางศิลปะแบบนี้คือ การแสดงออกทางศิลปะที่เหมือนกับศิลปกรรมที่นิยมในเยอรมนีและอิตาลีที่มีความสัมพันธ์กันกับไทยในเวลานั้น และยังคล้ายกับการด่างานแบบอุดมคติในงานจิตรกรรมไทยที่ดูอ้อนแอ้นอ่อนแอสัมพันธ์กับสถาบันพระมหากษัตริย์ ดังการปาฐกถาของหลวงวิจิตรวาทการในเรื่องมนุษย์ปฏิวัติที่ว่า</span><br /><br /><o:p></o:p></span></span></span></p> </span></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img style="width: 434px; height: 298px;" src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153913_49.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่</span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">11 : <span lang="TH">บทความสะท้อนแนวคิดมนุษย์นิยมที่ปฏิเสธความงามทางศิลปะแบบเจ้า<br /><br /></span><o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ที่สรรเสริญผู้ที่มักได้ดีโดยไม่ต้องทำอะไร<br /><br /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p></span></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153927_70.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);">12 : <span lang="TH">ลักษณะงานศิลปะยุคคณะราษฎรที่มักทำรูปคนเปลือยดูแข็งแรง มีกล้ามเนื้อสัดส่วนชัดเจน<br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:85%;" > </span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153940_27.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p> <p align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">13 : <span lang="TH">มนุษย์นิยมแบบคณะราษฎร </span></span></span></span></p> <p align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">แม้แต่ผู้หญิงก็ต้องดูสมบูรณ์อวบอิ่ม เป็นพลเมืองในยุคไทยใหม่<br /><br /></span></span></span></p></span></span> <span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span lang="TH"> <p align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_153956_24.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">14 : <span lang="TH">แม้แต่ครุฑ ในสมัยคณะราษฎรก็ต้องดูแข็งแรง มีกล้ามท้อง<br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154013_75.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">15 : <span lang="TH">ในระดับรายละเอียดก็รณรงค์จนยุ่มย่ามในชีวิตด้วย เช่น<br />การให้กินกับข้าวมากๆ </span></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ตรงนี้เป็นการปฏิวัติทางวัฒนธรรมด้วย<br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><b><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">กลับสู่สยามเก่า </span></b><b><span style="font-family:Tahoma;">–<span lang="TH">ไทยเก่า</span><o:p></o:p></span></b></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ช่วง พ.ศ. </span><span style="font-family:Tahoma;">2475 -2490 <span lang="TH">คือสยามใหม่ </span>– <span lang="TH">ไทยใหม่ แต่พอหลังจาก พ.ศ. </span>2490 <span lang="TH">ทุกอย่างก็กลับคืนสู่ช่วงก่อนเวลา พ.ศ. </span>2475 <span lang="TH">หมด </span><o:p></o:p></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="left"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" > </span></p> <p align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154227_56.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">16 : <span lang="TH">ชาติในจินตนาการ<br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style=""> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" >จากการได้ฟังเรื่อง </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" >‘<span lang="TH">ชาติในจินตนาการ</span>’ <span lang="TH">ของ รศ.ดร.เกษียร เตชะพีระ (นักวิชาการคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์) ที่เคยไปบรรยายที่มหาวิทยาลัยศิลปากร ทำให้เห็นประเด็นว่าแม้ว่าหลวงวิจิตรวาทการจะเคยเป็นมันสมองที่สำคัญของคณะราษฎรก็ตาม แต่ก็ยังทำงานสืบเนื่องต่อมาในยุคนี้ซึ่งสะท้อนออกมาในแนวทางที่อนุรักษ์นิยมมาก เช่น ในทางประวัติศาสตร์ก็ทำเพียงการเพิ่มพล็อตต่อจากประวัติศาสตร์ชาติไทยของสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ว่าคนไทยมาจากเขาอัลไต ลงมาน่านเจ้า เป็นไทยใหญ่ ไทยน้อย เพียงแต่ผูกโยงไปที่อีสานและเวียดนามเพิ่มขึ้น เพื่อเดินตามไปนโยบายมหาอาณาจักรที่ต้องการจะขยายออกดินแดนไป </span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"> </p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH" style="font-size:100%;">อย่างไรก็ตาม มันยังอยู่ในร่มประวัติศาสตร์แบบเดิม ซึ่งแม้ชาติในจินตนาการเชิงสัญลักษณ์จะถูกตัดขาดไปในช่วงคณะราษฎร แต่ความเป็นไทยในทางประวัติศาสตร์ไม่เคยตัดขาดและต่อเนื่องมาจนหลัง พ.ศ. </span><span style="font-size:100%;">2490 </span><span lang="TH" style="font-size:100%;">สัญลักษณ์ในยุคคณะราษฎรจึงถูกชิงความหมายไปอย่างรวดเร็วหลัง พ.ศ. </span><span style="font-size:100%;">2490</span><br /><br /><span lang="TH"><span style=""> </span></span><o:p></o:p></span></p></span></span></span></span></span></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="left"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p></span></span></span><o:p></o:p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></o:p></span></p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154245_99.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">17 : <span lang="TH">ชาติในจินตนาการทางขอบเขตและประวัติศาสตร์ที่ต่อเนื่องมาตั้งแต่สมัยสมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพที่ไม่เคยถูกตัดขาดและต่อเนื่องไปจนหลัง พ.ศ.</span>2490<br /><br /><o:p></o:p></span></span></p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154430_44.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">18 : <span lang="TH">สัญลักษณ์ที่ถูกช่วงชิงผ่านงานศิลปะอนุสาวรีย์พระบิดาด้านต่างๆ ที่สร้างขึ้นมากมาย<br /><br /><span style="font-size:100%;">หลัง พ.ศ.</span></span><span style="font-size:100%;">2490 </span><span lang="TH" style="font-size:100%;">โดยคนสำคัญกลุ่มเดิมที่ทำงานสืบเนื่องต่อจากสมัยคณะราษฎร</span><span style="font-size:100%;"><o:p></o:p></span></span></span></p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" > </span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">หลัง พ.ศ. </span><span style="font-family:Tahoma;">2490 <span lang="TH">งานศิลปะจึงกลายป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์มาก มีการสร้างอนุสาวรีย์พระบิดาด้านต่างๆ โดยใช้คนกลุ่มเดิมซึ่งก็คือ ศิลป์ พีระศรี และหลวงวิจิตรวาทการ เป็นผู้สืบสร้างงานศิลปะและสัญลักษณ์ ในขณะเดียวกันจากเดิมที่หลวงวิจิตรวาทการเคยบอกว่าศิลปะแบบตามประเพณี อ้อนแอ้น ไม่สวยงาม ในยุคนี้เมื่อมีการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ งานลักษณะอ้อนแอ้นที่กลับสู่แบบประเพณีดังกล่าวกลับได้รับรางวัลเหรียญทอง<br /><br /><o:p></o:p></span></span></span></span></p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" > </span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154448_40.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt 1in; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:85%;">19 : </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">งานศิลปะที่ได้รับรางวัลเหรียญทองจากการประกวดศิลปกรรมแห่งชาติ</span><br /><br /></span></span></span></p></span><span style="font-size:100%;"><o:p></o:p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);font-size:100%;" > </span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">นอกจากนี้ สถาปัตยกรรมอาคารสาธารณะแบบคณะราษฎรยังเริ่มถูกรื้อออกไป เช่น โรงภาพยนต์เฉลิมไทย โดยตอนรื้อ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมทมีข้อเขียนที่ให้เหตุผลว่า<br /><br /></span></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></p></span> </span></span></span></span><div style="text-align: left;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154456_52.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p></span></span></span></span></div><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:85%;">20 : </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">ข้อเขียนหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ปราโมท แกนหลักคนสำคัญฝ่ายอนุรักษ์นิยมหลัง พ.ศ.</span><span style="font-size:85%;">2490 </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">ที่มีส่วนสำคัญในการรื้อสัญลักษณ์ของศิลปะคณะราษฎร<br />โดยมองว่าต่ำทราม และไม่กลมกลืนกับสถาปัตยกรรมในกรุงเทพฯ</span><br /><br /></span></span></span></p></span></span><o:p></o:p></span></span><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><o:p></o:p> <p align="center"> </p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154532_92.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:85%;">21 :</span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;"> โรงภาพยนต์เฉลิมไทย</span><br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ทั้งนี้ คำว่า กรุงเทพฯ ในความหมายของหม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์ ตามที่กล่าวได้หมายถึง </span><span style="font-family:Tahoma;">‘<span lang="TH">วัด</span>’ <span lang="TH">และ </span>‘<span lang="TH">วัง</span>’<span lang="TH"> เท่านั้น จากข้อเขียนนี้ ในทางอนุรักษ์ก็ยึดเอาเป็น คึกฤทธิ์ชาเตอร์ เพื่อใช้ประเมินคุณค่าศิลปกรรมทางประวัติศาสตร์ หม่อมราชวงศ์คึกฤทธิ์จึงมีความสำคัญและสร้างเรื่องราวที่เสริมศิลปวัฒนธรรมแบบสยามเก่าอย่างสูงมาก<br /><br /></span></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></span> </span></p></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154540_21.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="font-size:85%;">22 : </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">เมรุถาวรแบบคณะราษฎรแห่งแรกที่วัดไตรมิตรฯ เป็นต้นแบบของเมรุในปัจจุบัน ซึ่งสร้างขึ้นเพื่อสะท้อนแนวทางหลัก </span><span style="font-size:85%;">6 </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">ประการ</span><br /><br /></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><o:p> </o:p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">หากไม่นับเมรุชั่วคราวหลังปราบกบฎบวรเดช เมรุถาวรแห่งแรกสร้างไว้ที่วัดไตรมิตร ปัจจุบันรื้อออกแล้ว การสร้างเป็นเมรุถาวรแบบนี้คือการสะท้อนการคำนึงถึงสุขลักษณะตามหลัก </span><span style="font-family:Tahoma;">6 <span lang="TH">ประการ และเมรุนี้เป็นต้นแบบของเมรุที่เห็นในปัจจุบัน</span><o:p></o:p></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">หลัง พ.ศ. </span><span style="font-family:Tahoma;">2490 <span lang="TH">แม้จะเป็นช่วงเวลาของจอมพล ป. พิบูลสงคราม ยุคที่ </span>2 <span lang="TH">แต่ถึงเป็นบุคคลเดียวกันจะเห็นว่าตึกอาคารมีลักษณะประนีประนอมจนเกิดเป็นสถาปัตยกรรมแบบไทยๆ ขึ้น คือ เริ่มนำจั่วแบบไทยเดิมมาผสมกับสถาปัตยกรรมที่ลดทอนรายละเอียดองค์ประกอบทางสถาปัตยกรรมอย่างช่อฟ้า ใบระกา หางหงส์ ลง อาจเพราะยังถือว่ามีอิทธิพลของยุคประชาธิปไตยจึงยังไม่กลับไปเป็นแบบวัดเต็มที่ตามลักษณะสถาปัตยกรรมของเจ้า แต่ก็มีหลังคาจั่ว </span><o:p></o:p></span></span></span></p> </span></span></span></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154548_17.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></span><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);">ภาพที่ </span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span style="color: rgb(0, 0, 0);">23 : <span lang="TH">สถาปัตยกรรม หลัง พ.ศ. </span>2490 <span lang="TH">แม้จอมพล ป. พิบูลสงคราม จะกลับมาคุมอำนาจอีกครั้ง แต่อาคารเริ่มกลับมามีหลังคาจั่วแบบไทยประเพณี</span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><b><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><br />ยุคปัจจุบัน</span></b><b><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></b></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">จากการศึกษาเฉพาะกรณีสัญลักษณ์บนถนนราชดำเนิน พบว่าสามารถสะท้อนความหมายออกมา </span><span style="font-family:Tahoma;">4 <span lang="TH">แบบ คือ</span><o:p></o:p></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">1<span lang="TH">. ความหมายในแบบคณะราษฎรที่หมดความหมายไปในปัจจุบัน</span><o:p></o:p></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">2<span lang="TH">. ความหมายหลัง </span>14 <span lang="TH">ตุลา </span>2516<o:p></o:p></span></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ความหมายเดิมของอนุสาวรีย์ประชาธิปไตยเป็นเพียงชื่อที่ใช้ในยุคคณะราษฎรแต่ถูกแปลงให้เป็นประชาธิปไตยมากขึ้น หลังเหตุการณ์ </span><span style="font-family:Tahoma;">14 <span lang="TH">ตุลา อนุสาวรีย์ถูกใช้แสดงความหมายทางประชาธิปไตยเรื่อยมา<br /><br /><br /></span><o:p></o:p></span></span></span></p> </span></span></span><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></p></span></span></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><a set="yes" linkindex="4" href="http://news.yahoo.com/s/afp/20070918/wl_afp/nepalpoliticsmaoists_070918154649"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154556_1.JPG" border="0" height="262" width="350" /></a></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">24 : </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย บนถนนราชดำเนิน วันที่ </span><span style="font-size:85%;">14 </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">ตุลาคม </span><span style="font-size:85%;">2516</span><br /><br /></span></span></p></span><o:p></o:p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><o:p> </o:p></span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" lang="TH" ><o:p> </o:p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">อย่างไรก็ตาม ในภายหลัง </span><span style="font-family:Tahoma;">14 <span lang="TH">ตุลา ก็ได้ถูกเบี้ยวความหมายไปเช่นกัน เช่น การสร้างอนุสาวรีย์ </span>14 <span lang="TH">ตุลา บนถนนราชดำเนิน ที่ทำเป็นลักษณะสถูป เรียบง่าย คล้ายกับการระลึกถึงผู้ตายเหมือนให้มันปลงๆ ลืมๆ ไปเสียตามลักษณะแบบไทยๆ ซึ่งส่วนตัวมองว่ามันไม่สื่อความหมายของ </span>14 <span lang="TH">ตุลา อาจจะด้วยการใช้เวลาที่ยาวนานมากกว่าจะได้สร้างอนุสาวรีย์ดังกล่าวเมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา จึงมีการต่อรองมากมายจนทำให้อนุสาวรีย์ที่สร้างไม่สื่อความหมายเกี่ยวกับจิตวิญญาณของนักศึกษาที่ลุกฮือ<span style=""> </span>อนุสาวรีย์นี้ควรสามารถสื่อความหมายที่ระลึกถึงจิตวิญญาณของ </span>14 <span lang="TH">ตุลา ว่าต้องแลกมากับอะไร แม้แต่การใช้วัสดุ อย่างหิน หรือดิน มันก็สะท้อนนัยยะ แต่อนุสาวรีย์นี้กลับใช้แกรนิตที่มันวาวเป็นแบบห้างที่ไม่น่านำมาใช้สร้างอนุสรณ์สถาน นัยยะได้ถูกแปลงจนดูไม่มีพลัง การเอาโปสเตอร์ภาพเหตุการณ์ไปติดยังดูมีพลังมากกว่า อนุสาวรีย์ควรออกแบบที่สะท้อนภาพ </span>14 <span lang="TH">ตุลา ออกมาให้ได้อย่างในภาพข้างล่าง แต่มันได้ถูกบิดเบี้ยวไปด้วยอะไรบางอย่าง<br /><br /></span><o:p></o:p></span></span></p></span> <p align="center"><span style="font-size:100%;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154604_69.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p> <p align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" >25 : <span lang="TH">ภาพเหตุการณ์ </span>14 <span lang="TH">ตุลา ที่ต้องสื่อความหมายออกมาให้ได้</span></span></p> <p align="center"> </p><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > </span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154614_32.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">26 : </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">อนุสรณ์สถาน </span><span style="font-size:85%;">14 </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">ตุลา ที่ชวนปลงๆ ลืมๆ แบบไทยๆ </span><span style="font-size:85%;">?</span><br /><br /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">3<span lang="TH">. ความหมายทางความทรงจำแบบพระราชอำนาจของสถาบันพระมหากษัตริย์ที่เพิ่มพูนอย่างไม่เป็นทางการหลัง พ.ศ. </span>2490 <o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">หลังเหตุการณ์ พฤษภาคม </span><span style="font-family:Tahoma;">2535<span lang="TH"> ความหมายนี้ถูกสะท้อนออกมามาก เช่น การสร้างซุ้มเทิดพระเกียรติบนถนนราชดำเนินเป็นครั้งที่ </span>2 <span lang="TH">หลังจากสร้างครั้งแรกในสมัยรัชกาลที่ </span>5 <span lang="TH">กลับจากประพาสยุโรป โดยครั้งนั้นสร้างเพื่อฉลองราชพิธีกาญจนาภิเษก</span><o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ข้อสังเกตสำคัญคือการใช้คติแก้ว </span><span style="font-family:Tahoma;">7 <span lang="TH">ประการ ในซุ้มกาญจนาภิเษก </span>7 <span lang="TH">ซุ้ม ตามคติจักรพรรดิราช อันเป็นแบบไทยประเพณีโบราณที่ย้อนกลับไปมาก เพราะแม้แต่สมัยรัชกาลที่ </span>4 <span lang="TH">หรือรัชกาลที่ </span>5 <span lang="TH">ก็ไม่ใช้คตินี้แล้ว ซึ่งซุ้ม </span>60 <span lang="TH">ปีในปัจจุบันก็ใช้คติดังกล่าว<br /><br /><o:p></o:p></span></span></span></p> </span> <span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154622_18.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">27 : </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">ซุ้มกาญจนาภิเษก ใช้คติแก้ว </span><span style="font-size:85%;">7 </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">ประการ ตามคติจักรพรรดิราชแบบโบราณกว่าสมัยรัชกาลที่ </span><span style="font-size:85%;">4</span><br /><br /></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span><span style="font-family:Times New Roman;"> </span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0.9pt 0pt 0cm;" align="center"><span style="font-family:Times New Roman;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154629_64.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">28 : </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">ซุ้มเฉลิมพระเกียรติ </span><span style="font-size:85%;">60 </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">ปี ที่สร้างตามคติแก้ว </span><span style="font-size:85%;">7 </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">ประการ<br /></span><br /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> </span></span></span></span></span></span><div style="text-align: left;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154637_15.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p></span></span></span></span></span></span></div><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">29 : </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">สัญลักษณ์ที่ถ่ายทอดผ่านแสงไฟกลางคืน</span><br /><br /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> </span></span></span></span></span></span></span></span></span><div style="text-align: left;"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154645_78.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p></span></span></span></span></span></span></span></span></span></div><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" >30 : <span lang="TH">การผนวกความทรงจำสมัยรัชกาลที่ </span>5 <span lang="TH">กับปัจจุบัน<br />ภาพถ่ายกลางคืนแสดงอำนาจที่สะท้อนผ่านความทรงจำสาธารณะ</span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><br />4<span lang="TH">. ความหมายของอำนาจรัฐบนพื้นที่ </span><o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">ความหมายนี้สะท้อนผ่านแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์ และแผนแม่บทกรุงเทพฯ ที่เน้นการโชว์แต่วัดกับวัง การย้ายส่วนราชการออกไป และการเปิดพื้นที่สีเขียวให้เป็นที่สาธารณะ ตัวอย่างเช่น การสร้างพื้นที่สาธารณะอนุสาวรีย์รัชกาลที่ </span><span style="font-family:Tahoma;">3 <span lang="TH">โดยรื้อโรงภาพยนต์เฉลิมไทยออกไป แต่พื้นที่สาธารณะดังกล่าวกลับใช้เป็นพื้นที่สาธารณะจริงไม่ได้เพราะมันร้อนมาก ส่วนที่ไม่ร้อนก็มีแต่ห้ามเข้าไปใช้ซึ่งการเข้าถึงที่สาธารณะได้มากหรือน้อยสะท้อนจากตรงนี้<br /><br /></span><o:p></o:p></span></span></p> </span></span> <span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0.9pt 0pt 0cm;" align="center"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154652_22.JPG" border="0" height="262" width="350" /></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">31 : </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">กรุงเทพฯตามแผนแม่บทเพื่อการอนุรักษ์และพัฒนากรุงรัตนโกสินทร์</span><br /><br /></span><o:p></o:p></span></p></span></span></span></span></span></span></span></span></span></span><o:p></o:p></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span> </span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154701_52.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">32 : </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">ลานอนุสาวรีย์รัชกาลที่ </span><span style="font-size:85%;">3 </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">ที่สาธารณะซึ่งร้อนมาก</span><br /><br /></span></span></p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></span> </span></span></span></span></span></p></span></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span> </p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0.9pt 0pt 0cm;" align="center"> </p><p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-size:100%;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154712_28.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-size:85%;">33 : </span><span lang="TH" style="font-size:85%;">สถานที่ไม่ร้อนในที่สาธารณะอนุสาวรีย์รัชกาลที่ </span><span style="font-size:85%;">3 </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">แต่ห้ามขึ้น</span><br /><br /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><o:p></o:p></span> </p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><o:p></o:p></span></span> </p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154720_51.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">34 : </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">ถนนราชดำเนินที่รัฐต้องการให้เป็น</span><br /><br /><o:p></o:p></span></span></p></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></p></span> </p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"><o:p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;">สิ่งที่รัฐต้องการให้ถนนราชดำเนินเป็นคือ บรรยากาศที่ดูสวยๆ ไม่มีพลัง ตึกอาคารถูกเปลี่ยนเป็นสีเหลือง ขณะเดียวกันรัฐก็ได้ใช้ประเด็นพระราชอำนาจมาเป็นเหตุผลในการเคลียร์พื้นที่ให้เป็นไปตามแผนแม่บทฯของรัฐ </span><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p><span style="color: rgb(0, 0, 0);"> </span></o:p></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">อย่างไรก็ตาม สุดท้ายแล้วมีกรณีตัวอย่างที่สะท้อนว่า สิ่งที่คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์คิดจัดทำให้เป็นไปตามแผนแม่บทฯ ด้วยการย้ายสถานที่ราชออกไปและเพิ่มพื้นที่สีเขียวนั้นมันผิด ซึ่งกรณีตัวอย่างที่สำคัญคือ เกิดการสร้างทำเนียบองคมนตรีได้บนพื้นที่ตรงข้ามวัดพระแก้ว<br /><br /></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></p> </span></span> </o:p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span> </p></span></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154735_57.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" > <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">35 : </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">ทำเนียบองคมนตรี ตรงข้ามวัดพระแก้ว</span><br /><br /></span></span></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style="font-family:Tahoma;"><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt;"><span lang="TH" style="font-family:Tahoma;"><span style="color: rgb(0, 0, 0);">หรืออีกกรณีหนึ่งคือการวางแผนรื้อตึกอาคารศาลฎีกาที่สร้างโดยคณะราษฎรแล้วตามมาด้วยการสร้างใหม่ โดยให้เป็นอาคาราชการเหมือนเดิมแต่มีหลังคาจั่ว สิ่งเหล่านี้จึงแสดงว่าสิ่งที่คณะกรรมการกรุงรัตนโกสินทร์ต้องการรื้อเพื่อสร้างพื้นที่ที่สาธารณะนั้นมันล้มเหลว<br /><br /></span></span><span style="font-family:Tahoma;"><o:p></o:p></span></p></span></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"> </p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0cm 0pt;" align="center"><span style="font-family:Tahoma;"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154759_38.JPG" border="0" height="262" width="350" /></span></p><span style="font-family:Tahoma;"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style="font-family:Tahoma;"><span style="font-size:85%;">36 : </span><span lang="TH"><span style="font-size:85%;">ศาลฎีกา ที่ต้องรื้อสร้างใหม่</span><br /><br /></span></span></p></span></span></span> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"> </p><span style=";font-family:Tahoma;font-size:100%;" ><span lang="TH"> <p class="MsoNormal" style="margin: 0cm 0.9pt 0pt 0cm;" align="center"><img src="http://www.prachatai.com/05web/upload/HilightNews/library/200709/19_154822_75.JPG" border="0" height="262" width="350" /></p> <p class="MsoNormal" style="margin: 0in 0in 0pt; text-align: center;" align="center"><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" >ภาพที่ </span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" >37 : <span lang="TH">สิ่งปลูกสร้างที่กำลังจะเกิดขึ้นใหม่เพื่อเป็นอาคาราชการเช่นเดิม<br /><br /><br /></span></span></p></span></span><div style="text-align: left;"><span style="font-size:85%;">ที่มา : <a href="http://prachatai.com/05web/th/home/page2.php?mod=mod_ptcms&ContentID=9615&SystemModuleKey=HilightNews&System_Session_Language=Thai">เว็บไซต์ประชาไท วันที่ 19 กันยายน 2550</a><br /></span></div><div style="text-align: left;"><span style="font-size:85%;"><br /></span><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" lang="TH" > </span></div><span style=";font-family:Tahoma;font-size:85%;" ><span lang="TH"><o:p></o:p></span></span> </td></tr></tbody></table>historyMcmuhttp://www.blogger.com/profile/10528487425341058007noreply@blogger.com0